Saturday, March 22, 2014

A Pearl of Great Price and a Hidden Treasure in a Field (Matthew 13:44–46)


ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 13 ข้อ 44-46 พระเยซูได้ทรงเล่าอุปมา 2 เรื่อง คือเรื่องของขุมทรัพย์ในทุ่งนา (Hidden Treasure in a Field) และเรื่องของไข่มุกที่มีราคามาก (A Pearl of Great Price) อุปมา 2 เรื่องนี้ ได้ถูกนำมาเล่า ถูกนำมาถ่ายทอด และถูกนำมาสอนกันอย่างแพร่หลายในท่ามกลางผู้เชื่อ แต่ความหมายที่แท้จริงของอุปมานี้ ที่พระเยซูต้องการถ่ายทอดกับเราคืออะไร? วันนี้เราจะร่วมกันค้นหาความหมายที่สูญหายไปของอุปมาทั้งสองนี้

เรามาเริ่มกัน ด้วยการอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ที่ว่านี้กันก่อนนะครับ

มัทธิว 13:44-46
44 "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น
45 "อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี
46 และเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น

Matt 13:44-46
44 "Again, the kingdom of heaven is like treasure hidden in a field, which a man found and hid; and for joy over it he goes and sells all that he has and buys that field.
45 "Again, the kingdom of heaven is like a merchant seeking beautiful pearls,
46 "who, when he had found one pearl of great price, went and sold all that he had and bought it.

(NKJ)



อุปมาแรก อุปมาขุมทรัพย์ในทุ่งนา (Hidden Treasure in a Field)
อุปมานี้พูดถึงชายคนหนึ่งที่พบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา ชายคนนี้ด้วยความปรีดีจึงขายสิ่งสารพัดที่เขามี เพื่อไปซื้อที่นานั้น



อุปมาที่สอง อุปมาของไข่มุกที่มีค่ามาก (A Pearl of Great Price)
อุปมานี้พูดถึงพ่อค้าคนหนึ่ง ที่ออกเดินทางเสาะแสวงหาไข่มุกชั้นดี เมื่อเขาได้พบแล้ว เขาจึงได้ขายสิ่งสารพัดที่เขามีอยู่ เพื่อไปซื้อไข่มุกล้ำค่านั้น


สองอุปมานี้ แท้จริงเป็นอุปมาต่อเนื่อง และสื่อสารถึงเรื่องเดียวกัน คือ ชายคนหนึ่งที่พบสิ่งของที่มีค่า (ขุมทรัพย์ และไข่มุกเลอค่า) ชายคนนี้ จึงสละสิ่งสารพัดที่เขามี เพื่อแลกกับของที่มีค่านั้น

คำถามกุญแจของอุปมานี้ก็คือ ชายคนนี้เล็งถึงใคร?

คำสอนที่เราได้ยินในวันนี้ก็คือ ชายคนนี้เล็งถึงผู้เชื่อ พระเยซูทรงเป็นขุมทรัพย์ และไข่มุกชั้นดีนั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้ครอบครองพระองค์ เรา (ผู้เชื่อ) จึงต้องสละสิ่งสารพัดที่เรามี

คำสอนนี้ไม่ได้จบลงแค่นั้น ท่อนสร้อยของคำสอนนี้ ก็คือ การจะได้มาซึ่งความรอด เราพึงต้องยอมสละสิ่งสารพัดที่เรามี เพราะในอุปมานี้ ชาย และพ่อค้า ต่างก็สละสิ่งสารพัดที่เขามี เพื่อได้ครอบครองของล้ำค่านั้น

เรามา meditate สองอุปมานี้ ร่วมกันนะครับ

"ชายและพ่อค้าเป็นฝ่ายออกเดินทาง เสาะแสวงหา"
คำถามเราเป็นฝ่ายออกตามหาพระเจ้า หรือพระเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายออกตามหาเรา? ถ้าพระเจ้าไม่สำแดงพระองค์กับเรา เราจะสามารถตามหาพระองค์ได้พบจริงหรือ? พระเจ้าเป็นฝ่ายหลงไป หรือเราต่างหากที่เป็นฝ่ายหลงเจิ่นไป

"ชายคนนี้ ได้ขายสิ่งสารพัดที่เขามี เพื่อจะได้ซื้อของล้ำค่านั้น"
คำถาม คนมั่งคั่งคนนั้น คือพระเจ้า หรือเรา? คนบาปที่ถังแตกล้มละลาย เป็นหนี้ความบาปท่วมท้น มีอะไรที่มีค่าที่จะขายหรือ? เราคือคนที่ขายสิ่งสารพัดเพื่อไปซื้อพระเจ้า หรือพระเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายสละสิ่งสารพัด ถอดพระสิริความเป็นพระเจ้าของพระองค์ และซื้อเรามาด้วยพระโลหิตของพระองค์? เราซื้อพระองค์ หรือพระองค์ต่างหากที่ซื้อเรามา?

"ความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น"
พระคัมภีร์บันทึกว่า ชายคนนี้ ด้วยความปรีดี จึงได้ขายสิ่งสารพัดที่เขามี แล้วไปซื้อที่นานั้น ถ้าเราพูดด้วยความสัตย์จริง (Truthful) ต่อตัวเอง เราปรีดีจริงเหรอ?? ที่ได้สละสิ่งสารพัด เพื่อพระองค์

หรือว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเราคือ เรารู้สึกเหมือนถูกหลอก ตอนเราฟังข่าวประเสริฐ ว่าพระเจ้าได้ทำสิ่งสารพัดให้เรา เราได้รับความรอด จากสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้วให้กับเรา หลังจากเรารับเชื่อ ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว กลับปรากฎ หมายเหตุเงื่อนไขตัวเล็กๆ มากมายที่ซ่อนอยู่ ความเชื่อคริสเตียน ก็ไม่ต่างอะไร จากการโฆษณาชวนเชื่อเลย ที่เขียนคำว่า "ฟรี" ตัวโตๆ เพื่อหลอกล่อลูกค้า แต่เมื่อได้ลูกค้าเข้ามาแล้ว ก็เริ่มเปิดสารพัดเงื่อนไขต่างๆ นาๆ ออกมา จนท้ายที่สุด แทบไม่มีใครได้รับของสมนาคุณ ที่โฆษณาได้ชวนเชื่อเอาไว้เลย

ในอุปมานี้ ชายคนนี้ปรีดี พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า ชายคนนี้ ตัดสินใจที่จะชื่นชมยินดี แต่เขาปิติยินดีออกมาจากใจของเขาจริงๆ

ถ้าชายคนนี้ คือพระเยซู พระองค์ทรงยินดี พระองค์ทรงปรีดี ที่ได้สละสิ่งสารพัดที่พระองค์มี เพื่อมาไ่ถ่บาปให้เรา มาช่วยเหลือพวกเรา ให้หลุดพ้นออกจากพันธนาการแห่งความบาป พระองค์ไม่ได้ถูกพระบิดาบังคับให้มาไถ่บาปให้กับเรา แต่พระองค์ทรงมาด้วยใจสมัคร (ยน 10:18)

ความปรีดีของชายคนนี้ ทำให้ผมไม่สามารถ ที่จะอดคิดถึงอุปมาแกะ 1 ตัวที่หลงหายไป ในพระธรรมลูกาบทที่ 15 ข้อ 1-7

ในอุปมานั้น ผู้เลี้ยงแกะได้ละแกะ 99 ตัว และออกไปตามหาแกะ 1 ตัวที่หลงหายไป

ความน่าสนใจ 2 อย่างของอุปมานี้ ก็คือ หนึ่งชายคนนี้เป็นฝ่ายออกไปตามหาแกะ แกะไม่ได้ตามหาผู้เลี้ยง แต่ผู้เลี้ยงเป็นฝ่ายริเริ่ม ที่จะออกตามหาแกะที่หลงหายไป ผู้เลี้ยงไม่ได้หลง แกะต่างหากที่เป็นฝ่ายหลงหายไป สอง เมื่อผู้เลี้ยงได้เจอแกะ 1 ตัวที่หลงหายไปนั้น พี่น้องลองอ่านสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ซิครับ


ลก 15:5 เมื่อพบแล้วเขาก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์
Luke 15:5 "And when he has found it, he lays it on his shoulders, rejoicing.

อุปมานี้ ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับอุปมาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนาจริงๆ พี่น้องลองใคร่ครวญ (meditate) คำอุปมาของพระเยซูคริสต์ดูนะครับ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสำแดง ให้พี่น้องเกิดความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำอุปมา อย่างที่พระองค์ทรงสำแดงกับผม


อุปมาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ กับอุปมาไข่มุกล้ำค่า พูดถึงเรื่องเดียวกัน คือชายคนหนึ่งออกเดินทางแสวงหา อุปมาแรก เขาพบขุมทรัพย์ในทุ่งนา ส่วนอุปมาที่สอง เขาพบไข่มุกที่ล้ำค่า

พระคัมภีร์แปลพระคัมภีร์ (Bible interprets Bible.)

ในอีกอุปมาของพระเยซู "ทุ่งนา" เล็งถึง "คนอิสราเอล"

ยน 4:35-36
35ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว
36 คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน

John 4:35-36
35 "Do you not say, 'There are still four months and then comes the harvest'? Behold, I say to you, lift up your eyes and look at the fields, for they are already white for harvest!
36 "And he who reaps receives wages, and gathers fruit for eternal life, that both he who sows and he who reaps may rejoice together.


ยอห์นบทที่ 4 ข้อ 35 พระเยซูไม่ได้พูดถึงการเกี่ยวข้าว การเกี่ยวข้าว และทุ่งนาเป็นภาพเล็งถึงคนยิว และความรอดที่มาถึงพวกเขาแล้ว

ภาพที่สองของอุปมา คือ "ไข่มุก" ไข่มุกเล็งถึง "คนต่างชาติ"

ทำไมไข่มุกถึงได้เล็งถึงคนต่างชาติ?

คำตอบ ไข่มุกมาจากหอยนางรม หอยคือสัตว์ที่เป็นมลทิน สำหรับคนยิวแล้ว คนต่างชาติเป็นเหมือนสัตว์ที่เป็นมลทิน

พี่น้องจำเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงใช้เปโตร ไปประกาศข่าวประเสริฐกับครอบครัวของโครเนลิอัสได้ไหมครับ? เปโตรไม่ค่อยสะดวกใจที่จะประกาศกับคนต่างชาติ โครนิลิอัสเป็นนายทหาร เขาเป็นนายร้อยชาวอิตาเลี่ยน


กจ 10:9-15
9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟา แล้วประมาณเวลาเที่ยงวัน เปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาตึกเพื่อจะอธิษฐาน
10 ก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์
11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีอะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
12 ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง คือสัตว์ที่เดิน ที่เลื้อยคลาน และที่บิน
13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า "เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด"
14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า "มิได้ พระเจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้าม หรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานเลย"
15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า "ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้วอย่าว่าเป็นของต้องห้าม"

พระเจ้าจึงได้ทรงให้เปโตรเข้าสู่ภวังค์ และได้เห็นนิมิตร เป็นผ้าผืนใหญ่ ในผ้าผืนใหญ่นั้น มีสัตว์ทุกอย่างที่เป็นมลทิน (Non Kosher Animals) และพระเจ้าได้ตรัสกับเปโตรว่า "ให้ลุกขึ้นฆ่ากินเถิด"

เปโตรทูลตอบกับพระเจ้าว่า "ของเหล่านี้เป็นของมลทิน" พระเจ้าจึงตรัสกับเปโตรว่า "ซึ่งพระเจ้าได้ชำระแล้ว เหตุฉะไหน เปโตรจึงเรียกว่าเป็นมลทิน"

บริบทพระคัมภีร์ตอนนี้ พูดถึงการไปประกาศกับคนต่างชาติ สัตว์มลทินเหล่านั้น ในบริบทเล็งถึงคนต่างชาติ พระเจ้ากำลังบอกเปโตรให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติ




ในข้อ 19-23 เปโตรจึงยอมไปกับคนรับใช้ของโครเนลิอัส และเปโตรได้ประกาศข่าวประเสริฐกับโครเนลิอัสในลำดับต่อมา


กจ 10:19-23
19 เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า "ดูเถิด ชายสามคนมาหาเจ้า
20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา"
21 เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นกล่าวว่า "นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไร"
22 เขาจึงตอบว่า "นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกยิว โครเนลิอัสผู้นั้นได้รับคำเตือนจากทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ให้มาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่อจะฟังถ้อยคำของท่าน"
23 เปโตรจึงเชิญเขาให้เข้ามาหยุดพักอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นเปโตรก็ลุกขึ้นไปกับเขา
และพวกพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย



"ทุ่งนา" เล็งถึง "คนยิว" และ "ไข่มุก" เล็งถึง "คนต่างชาติ" ชัดเจน

พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ชายและพ่อค้า ที่ออกแสวงหาของล้ำค่ำ หาได้เล็งถึงเราไม่ หากแต่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นฝ่ายออกตามหาเรา พระองค์ไม่เคยหลงหายไปไหน คนที่หลงไป คือพวกเรา เราเป็นเหมือนแกะตัวนั้น ที่หลงออกจากฝูง พระเยซู คือผู้เลี้ยงที่แสนดีและรักเรา พระองค์ออกตามหาเรา

คนที่สละสิ่งสารพัด คือพระเยซู พระองค์ทรงออกจากที่ประทับของพระองค์ในสวรรค์สถาน ถอดพระสิริความเป็นพระเจ้าของพระองค์ มาบังเกิดเป็นมนุษย์ รับสภาพที่ต่ำต้อย (ฟป 2:6-7) เพื่อไถ่บาปให้กับเรา เราคือคนบาป ที่ถังแตก เราเป็นหนี้ความบาปท่วมท้น เราไม่มีสิ่งมีค่าอะไรที่จะขาย

เราไม่สามารถที่จะซื้อพระเจ้าได้ แต่พระองค์ต่างหากเป็นฝ่ายที่ซื้อเรา พระองค์ทรงซื้อเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงแลกชีวิตของพระองค์กับเรา

เรามีคุณค่ามากสำหรับพระเจ้า พระเยซูทรงเสด็จมาไถ่บาปให้กับเราด้วยความปรีดี เพราะพระองค์ทรงรักเรา ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ สำแดงให้เราได้เข้าใจถึง ความรักอันมากมายที่พระเจ้ามีต่อเรา ที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ และขอให้สัจธรรมความจริงนี้ หยั่งรากลึกลงในจิตใจของพวกเราทุกคน ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเรามากมาย ในสายพระเนตรของพระองค์ ท่านคือทุ่งนาที่มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ และท่านคือ ไข่มุกล้ำค่านั้น ที่พระองค์ยินดีสละสิ่งสารพัดที่พระองค์มี ด้วยความปรีดี เพื่อแลกกับเรา นำเรากลับคืนสู่ครอบครัวของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

ท่านคือบุตรที่พระเจ้าทรงรัก

No comments:

Post a Comment