Monday, March 24, 2014

A Camel Through The Eye Of A Needle


เช้าวันนี้ ผมมีโอกาสได้ใคร่ครวญ (meditate) พระวจนะของพระเจ้า เรื่องของเศรษฐีหนุ่ม (A Rich Younger Ruler) ขณะที่ผมกำลัง meditate อยู่นั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้สำแดงให้ผมได้เกิดความเข้าใจพระคัมภีร์ตอนนี้ ในอีกแง่มุม ที่ผมไม่เคยสังเกตุเห็น และเข้าใจมาก่อน ผมเลยอยากแบ่งปันการสำแดงนี้กับพี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์

สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงให้ผมได้เห็นในเช้าวันนี้ ก็คือ ความต่อเนื่อง (Continuation) และบริบท (Context) ของพระคัมภีร์ตอนนี้ ทุกวันนี้ บ่อยครั้งเหลือเกิน เราได้เรียนพระคัมภีร์ ที่ถูกแตกชิ้น ถูกแยกออกมาเป็นชิ้นๆ เป็นส่วนย่อยๆ ชิ้นส่วนย่อยเหล่านี้ ถูกนำมาอ้างอิง สนับสนุน ประกอบคำสอนศาสนา (ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง ว่าความเชื่อคริสเตียนเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของศาสนา)

ความงดงามของพระวจนะของพระเจ้าอยู่ที่บริบทของพระคัมภีร์ เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักศาสนศาสตร์ว่า หลักการตีความพระคัมภีร์ที่ใหญ่ที่สุด เหนือหลักอื่นใด ก็คือการตีความพระคัมภีร์ตามบริบท (Interpret the Bible in Its Context)


เรื่องของเศรษฐีหนุ่มถูกบันทึกอยู่ในพระกิตติคุณ 3 เล่มด้วยกัน คือในพระธรรมมัทธิว 19:16-30, มาระโก 10:17-31 และในลูกา 18:18-30

เช้านี้ผม meditate เหตุการณ์นี้ ในพระธรรมมาระโก ผมจึงขอแบ่งปันเรื่องนี้ ผ่านทางพระธรรมมาระโก

ผมขอเล่าเรื่องย่อๆ ของเหตุการณ์นี้ ให้พี่น้องได้ฟังสักหน่อยนะครับ เพื่อให้พี่น้องได้เห็นภาพรวมของเหตุการณ์ ก่อนจะเข้าเนื้อหาหลัก ที่พระวิญญาณฯ ทรงสำแดงกับผม


เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นที่ว่า มีเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่า และทูลถามพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์" (มก 10:17)

ชายหนุ่มคนนี้ มีความจริงใจที่จะมาหาพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เขาวิ่งมาหาพระเยซู เมื่อมาถึงพระเยซูแล้ว เขาคุกเข่าลงทูลถามพระองค์

คำถามที่เศรษฐีหนุ่มถามพระเยซูคริสต์ ชัดเจนว่า เขากำลังถามเรื่องของ "ชีวิตนิรันดร์ (Eternal Life)" ผมต้องพูดประเด็นนี้ให้เคลียร์ เพราะไม่ใช่ทุกตอนในพระคัมภีร์ที่พูดถึงชีวิต จะเป็นเรื่องของชีวิตนิรันดร์หมด แต่เหตุการณ์ตอนนี้ ชัดเจน บทสนทนาของพระเยซูกับเศรษฐีหนุ่ม คือ เรื่องของชีวิตนิรันดร์

มาระโกบทที่ 10 ข้อ 18-20 เป็นบทสนทนาของพระเยซูกับเศรษฐีหนุ่ม

ข้อนี้ 18-20 สามข้อนี้ ถ้าเราอ่านผ่านๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เมื่อไหร่ที่เราเริ่ม meditate ข้อพระคำ 3 ข้อนี้ เป็นอะไรที่ลึกซึ้งมากๆ แต่วันนี้ ผมขออนุญาต ยังไม่ไปแตะเนื้อหาใน 3 ข้อนี้

บทสนทนาใน 3 ข้อนี้ โดยเฉพาะในข้อ 18 และ 19 พระเยซูบอกกับเศรษฐีหนุ่ม ถึงพระบัญญัติหลายข้อ

ในข้อ 20 เศรษฐีหนุ่มทูลตอบพระเยซูว่า พระบัญญัติเหล่านี้ เขาได้ถือรักษา มาตั้งแต่เด็กแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ No Problem

ข้อ 21 เป็นอะไรที่ซึ้งมากๆ ผมอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ มาหลายครั้ง ในหลายๆ เล่มพระกิตติคุณ แต่วันนี้เป็นอะไรที่ซึ้ง เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดตาใจให้ผมได้เห็น ถึงการตอบสนอง และหัวใจของพระเยซู เราลองอ่านข้อ 21 ด้วยกันสักหน่อยนะครับ

มก 10:21 พระ‍เยซู​ทรง​เพ่ง‍ดู​คน‍นั้น ก็​ทรง‍รัก​เขา​แล้ว​ตรัส​ว่า “ท่าน​ยัง​ขาด​อยู่​สิ่ง‍หนึ่ง จง​ไป​ขาย​บรร‌ดา​สิ่ง​ของ​ซึ่ง​ท่าน​มี​อยู่​แจก‍จ่าย​ให้​คน​อนา‌ถา แล้ว​ท่าน​จะ​มี​ทรัพย์​สม‌บัติ​ใน​สวรรค์ แล้ว​จง​ตาม​เรา​มา​และ​เป็น​สา‌วก​ของ​เรา”
Mk 10:21 Then Jesus, looking at him, loved him, and said to him, “One thing you lack: Go your way, sell whatever you have and give to the poor, and you will have treasure in heaven; and come, take up the cross, and follow Me.”

พระคัมภีร์บอกกับเราว่า พระเยซูทรงรักเศรษฐีหนุ่มคนนี้ พระองค์ทรง deal กับเขา บนพื้นฐานของความรัก ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่เราแทบไม่เคยได้ยินเลย ว่าพระเยซูทรงรักเศรษฐีหนุ่มคนนี้ สิ่งที่เรามักจะได้ยินก็คือ เศรษฐีหนุ่มคนนี้ ไม่รอด เพราะเขารักทรัพย์สมบัติมากกว่าพระเจ้า

คนที่สอนดังกล่าว จะมีท่อนฮุค ของคำสอน ว่าอย่ารักทรัพย์สิ่งของในโลก จงสละสิ่งสารพัดที่ท่านครอบครอง มิเช่นนั้น ท่านจะไม่รอด เหมือนอย่างเศรษฐีหนุ่มคนนี้ บางคนไปไกลกว่านั้นอีก โดยการปล่อย 2 หมัดฮุค ตามด้วยหมัด Upper Cut ออกมาว่า ความมั่งมี เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย

ผมชอบคำสอนของศิษยาภิบาลท่านหนึ่ง ท่านสอนผมว่า เวลาที่เรามาโบสถ์ เราต้องเอาสมองมาด้วย

พี่น้องที่รัก เราต้องมีสติให้มากตอนที่เราอ่าน หรือฟังพระวจนะของพระเจ้า เราต้องไม่ตั้งธง แล้วพยายามจะตบให้พระวจนะเข้าไปในเหลี่ยมมุมที่เราต้องการ ถ้าพี่น้องยังไม่เคยอ่านบทความ ที่ผมเขียนเรื่อง Know the Lord Part 1 Religious Teaching vs Bible Teaching ผมอยากให้พี่น้องลองพลิกไปอ่านดูนะครับ ผมเชื่อว่า พี่น้องจะได้รับพระพรอย่างมากมาย

พระเจ้าไม่เคยพูดสักครั้งว่า เงินทอง ความมั่งคั่งเป็นสิ่งชั่วร้าย พระองค์เป็นคนสร้างเงิน ทอง อัญมณีล้ำค่าต่างๆ ไม่ใช่มารซาตาน ความคิดดังกล่าวที่ว่า เงินทองเป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่ใช่มาจากพระเจ้า ตรงกันข้าม มันมาจากขุมนรก มาจากมารซาตาน มารอยากให้ผู้เชื่อ ชักหน้าไม่ถึงหลัง มีไม่พอจะกิน เมื่อไหร่ที่ผู้เชื่อตกไปสู่สภาพดังกล่าว ผู้เชื่อก็ไม่สามารถจะถวายเกียรติพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ โดยการมีส่วนสนับสนุนงานพันธกิจ นำพาข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้ไปสุดปลายแผ่นดินโลกได้

สิ่งที่พระเจ้าสอนก็คือ การรักเงินทอง เป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งมวล (1ทธ 6:10) ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นการรักเงิน พระเจ้าไม่มีปัญหา  ที่เราจะมั่งมี มั่งคั่ง แต่พระองค์ทรงมีปัญหา เมื่อเงินทอง ครอบครองเรา และเราตกเป็นทาสของมัน แท้จริงแล้ว ตลอดเล่มพระคัมภีร์ เราเห็นพระเจ้าทรงอวยพระพรคนของพระองค์มากมาย ด้านเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ โยเซฟ ดาวิด ซาโลมอน ดาเนียล ฯลฯ

เงินในตัวของมันเองเป็นกลาง มันไม่ได้ดีหรือเลวในตัวมันเอง แต่หัวใจของเราที่มีต่อมันต่างหาก ที่เป็นตัวกำหนด ว่าเงินเหล่านั้น มันดีหรือเลว

กลับมาที่คำสอนดังกล่าว ที่ว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ไม่รอด เพราะเขารักเงินทองมากกว่าพระเจ้า คนที่สอนคำสอนนี้ จะอ้างอิงถึงสิ่งที่พระเยซูทรงพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า ก็ยากจริงหนา ด้วยว่าอูฐจะลอดรูเข็ม ก็ยังจะง่ายกว่า คนมั่งมีจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า"



พี่น้องเคยได้ยินคำสอนดังกล่าวไหมครับ?

คำสอนดังกล่าว ร้อยละร้อย จะจบลงที่ข้อ 25

มก 10:23-25

23พระ‍เยซู​จึง​ทอด‍พระ‍เนตร​รอบๆ แล้ว​ตรัส​แก่​เหล่า​สา‌วก​ว่า “คน​มั่ง‍มี​จะ​เข้า​ใน​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า​ก็​ยาก​จริง​หนา”
24เหล่า​สา‌วก​ก็​ประ‌หลาด​ใจ​ด้วย​พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍องค์ แต่​พระ‍เยซู​ตรัส​แก่​เขา​อีก​ว่า “ลูก​เอ๋ย คน​ที่​วาง‍ใจ​ใน​ทรัพย์​สม‌บัติ จะ​เข้า​ใน​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า​ก็​ยาก​จริง​หนา
25ตัว‍อูฐ​จะ​ลอด​รู‍เข็ม​ก็​ง่าย​กว่า​คน​มั่ง‍มี​จะ​เข้า​ใน​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า”

มาถึงสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ทรงสำแดงกับผมในเช้าวันนี้ พี่น้องพร้อมที่จะรับการสำแดงนั้นหรือยังครับ?

จริงๆ แล้ว เนื้อหาพระคัมภีร์ตอนนี้ มันไม่ได้จบลงที่ข้อ 25 คำสอนที่เราเคยได้ยินมา เป็นคำสอนที่ถูก Censored เนื้อหาบางส่วนออกไป เพื่อให้ได้ประเด็น ตามที่นักเทศน์อยากจะสื่อสาร ความน่าเสียใจก็คือ เราได้ฟังคำสอนที่นักเทศน์อยากสื่อสาร แต่เราไม่ได้ประเด็นที่พระเจ้าอยากจะสื่อสารกับเรา

แท้จริงแล้ว เนื้อหาของพระคัมภีร์ตอนนี้ ลากยาวไปจนถึงข้อ 31

ข้อ 32 ไปพระเยซูทรงเปลี่ยนเรื่อง เป็นทำนายถึงมรณกรรมของพระองค์

พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ท่านอยากรู้ไหมครับว่า เนื้อหาที่ถูก Censored ไป พระเยซูทรงพูดว่าอะไร?

สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัสกับผม ในเช้าวันนี้ อยู่ในข้อ 26-27 เรามาอ่านพระคัมภีร์ 2 ข้อนี้ กันสักหน่อยนะครับ

มก 10:26-27
26เหล่า​สา‌วก​ก็​ประ‌หลาด​ใจ​ยิ่ง‍นัก​จึง​ทูล​ว่า “ถ้า​อย่าง‍นั้น​ใคร​จะ​รอด​ได้”
27พระ‍เยซู​ทอด‍พระ‍เนตร​เหล่า​สา‌วก​แล้ว​ตรัส​ว่า “ฝ่าย​มนุษย์​ก็​เหลือ​กำ‌ลัง​ที่​จะ​ทำ​ได้ แต่​ไม่​เหลือ​กำ‌ลัง​ของ​พระ‍เจ้า เพราะ​ว่า​พระ‍เจ้า​ทรง​กระ‌ทำ​ให้​สำ‌เร็จ​ได้​ทุก​สิ่ง” 

หลังจากที่พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ด้วยว่าอูฐจะลอดรูเข็ม ก็ยังง่ายกว่า การที่คนมั่งมีจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า" เหล่าสาวกของพระองค์ จึงทูลถามพระเยซูว่า "ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดได้?"

ในข้อ 27 คือคำตอบที่พระเยซูทรงตรัสตอบเหล่าสาวก



พระองค์ตรัสว่า “ฝ่าย​มนุษย์​ก็​เหลือ​กำ‌ลัง​ที่​จะ​ทำ​ได้ แต่​ไม่​เหลือ​กำ‌ลัง​ของ​พระ‍เจ้า เพราะ​ว่า​พระ‍เจ้า​ทรง​กระ‌ทำ​ให้​สำ‌เร็จ​ได้​ทุก​สิ่ง”

ประโยคนี้ เป็นประโยคที่เราได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ใช่ไหมครับ? ประโยคที่ว่า "ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง" ทุกครั้งประโยคนี้ ถูกใช้ จะถูกใช้ เพื่อหนุนจิตชูใจ หรือไม่ก็ใช้ท้าทาย ให้ผู้เชื่อมีความเชื่อในพระเจ้า โดยเนื้อหาส่วนนี้ จะถูกใช้ในลักษณะ stand alone เป็นเอกเทศน์แยกออกจากบริบทที่พระเยซูพูดประโยคนี้

ผมกำลังหมายความว่า การใช้พระคัมภีร์ตอนนี้ ในการหนุนจิตชูใจ หรือท้าทาย ผิดหรือ? ไม่ผิดแน่นอน ประโยคนี้ของพระเยซูชัดเจน และทรงพลัง เต็มเปี่ยมด้วยพลานุภาพ และฤทธิ์เดช เราสามารถนำมาใช้หนุนจิตชูใจกันและกันได้อย่างทรงพลัง

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็น ก็คือ จริงๆ แล้ว ประโยคนี้ ไม่ได้ถูกกล่าวขึ้นมาลอยๆ ประโยคนี้ พระเยซูกล่าวขึ้นมา ในบริบทของความรอด บริบทของชีวิตนิรันดร์

สาวกกำลังถามพระเยซูว่า "ถ้าความรอดเป็นเรื่องยากเย็น แล้วใครจะรอดได้?"

ทุกวันนี้ คำสอนที่เรามักได้ยินก็คือ "ความรอดเป็นเรื่องยาก เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราจะรอดหรือเปล่า? เราต้องลุ้นตัวโก่ง จนนาทีสุดท้าย" พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความรอดเป็นอะไรที่ยากสุดๆ แม้เราจะรับเชือแล้ว ก็อย่าได้มั่นใจนัก เพราะเราอาจสูญเสียความรอดได้ทุกเมื่อ

ว่าไปแล้ว คำสอนดังกล่าว คือคำสอนที่ก่อตัวขึ้นบนความสงสัย เหมือนอย่างที่เหล่าสาวกของพระองค์ กำลังสงสัยและถามพระเยซูว่า "ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?"

คำสอนพระคัมภีร์ น่าจะเป็นคำสอนที่ก่อร่างขึ้น บนคำสอนของพระเยซู ไม่ใช่บนความสงสัย หรือความกลัวของมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์คนนั้น จะเป็นบุคคลในพระคัมภีร์ก็ตามที

พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธเหล่าสาวกของพระองค์ว่า ไม่จริง ไม่จริง ความรอดเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนการปลอกกล้วยเข้าปากลิง พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งที่พระองค์ตรัสตอบสาวกก็คือ

“ฝ่าย​มนุษย์​ก็​เหลือ​กำ‌ลัง​ที่​จะ​ทำ​ได้ แต่​ไม่​เหลือ​กำ‌ลัง​ของ​พระ‍เจ้า เพราะ​ว่า​พระ‍เจ้า​ทรง​กระ‌ทำ​ให้​สำ‌เร็จ​ได้​ทุก​สิ่ง”

พี่น้องลอง meditate ประโยคนี้ของพระเยซูดูนะครับ

เราเห็นถึง "กำลัง" จาก 2 แหล่งด้วยกัน กำลังของมนุษย์ และกำลังของพระเจ้า เพื่อไปถึงซึ่งความรอด

ความรอดไม่ได้ขึ้นกับแรงพยายาม หรือกำลังของเรา แต่ขึ้นกับกำลังของพระเจ้า อะไรที่ขึ้นกับเรา ไม่เคยมีความแน่นอน เพราะเหตุว่า มนุษย์ผิดพลาดได้เสมอ เราคือจุดอ่อน ถ้าความรอดของเรา ขึ้นกับตัวของเรา ขึ้นกับความสามารถในการทำ หรือไม่ทำอะไรของเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะไม่เคยมั่นใจได้เลย ว่าท้ายที่สุด เราจะรอดหรือไม่?

แต่ขอบคุณพระเจ้า ผมอ่านประโยคนี้ของพระเยซูคริสต์แล้ว ผมได้รับการหนุนใจอย่างมาก ความรอดของผม ไม่ได้ขึ้นกับกำลังของผม ถ้ามันขึ้นกับกำลังของผม ในตลอดเส้นทาง ผมต้องใช้กำลังอันจำกัดของผมในการรักษา ในการ maintain ความรอด ซึ่งพูดตรงๆ ก็คือ ผมไม่แน่ใจว่า ผมจะ maintain ได้ไหวหรือไม่?

"ฝ่าย​มนุษย์​ก็​เหลือ​กำ‌ลัง​ที่​จะ​ทำ​ได้"
ชัดเจน ความรอดเป็นสิ่งที่เหลือกำลังของมนุษย์ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความรอดเกินกำลังของมนุษย์นั่นเอง

"แต่​ไม่​เหลือ​กำ‌ลัง​ของ​พระ‍เจ้า"
บริบทของพระคัมภีร์ข้อนี้ และตอนนี้ คือเรื่องความรอด ขอบคุณพระเจ้า ความรอดของเรา ถูก maintain ด้วยกำลังของพระเจ้า

"เพราะ​ว่า​พระ‍เจ้า​ทรง​กระ‌ทำ​ให้​สำ‌เร็จ​ได้​ทุก​สิ่ง”
อะไรสำเร็จ? ในบริบทกำลังพูดถึงเรื่องอะไรละ? บริบทพูดถึงเรื่องความรอดและชีวิตนิรันดร์

พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง แปลว่าอะไร? แปลว่า พระเจ้าจะพาเราไปถึงซึ่งความรอดได้

จริงๆ แล้ว พระเยซูพูดแค่ว่า พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ Firm พอแล้ว ทำไมพระเยซูต้องพูดว่า "ทุกสิ่ง" ต่อท้ายด้วย ก็เพราะว่า มันจะมีหลายสิ่งหลายอย่าง เข้ามากระแทกชีวิตคริสเตียนของเรานะซิครับ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง (อย่าลืมบริบทพระคัมภีร์ตอนนี้ กำลังพูดถึงความรอด ทุกสิ่งเหล่านี้ คือทุกสิ่งที่จะโถมตัวเข้ากระแทกความรอดของเรา)

หลังจากที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่า "เราอยู่ในพระคริสต์ (We are in Christ)" ในพระคัมภีร์ใหม่ มีการพูดถึง "การอยู่ในพระคริสต์ (in Christ)" ไม่ต่ำกว่า 92 ครั้ง ภาพของตรงนี้ คือภาพของโนอาห์และครอบครัวอีก 7 ชีวิต ที่อยู่ในนาวา นาวาเล็งถึงพระเยซูคริสต์ ตามที่ผมเขียนไว้ในบทความ The Ark of Noah

อุปสรรคปัญหาที่จะเข้ามากระแทกเรา ต้องกระแทกพระเยซูคริสต์ก่อน เพราะเราอยู่ในพระองค์ คำถามที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่คำถามที่ว่า เราจะทนไหวหรือเปล่า? แต่ต้องถามว่า นาวาของเรา ซึ่งก็คือ พระเยซูคริสต์ จะทนต่อแรงกระแทกนั้นไหวหรือเปล่า?

พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ความรอดของท่าน มั่นคงเท่ากับความมั่นคงของพระเยซูคริสต์ ถ้าพระเยซูทรงมั่นคง ความรอดของเราก็มั่นคง เพราะว่าเราทั้งหลายอยู่ในพระองค์ ใช่ ตลอดชีวิตคริสเตียน เราแต่ละคน อาจล้มลุกคลุกคลาน แต่เราก็ล้มอยู่ในนาวา เราไม้ได้ล้มออกมานอกนาวา

พระองค์จะพาเราไปถึงจุดหมายปลายอย่างแน่นอน อย่าให้เราตัดต่อสิ่งที่พระเจ้าพูด วันนี้พระเจ้าอยากจะบอกกับเราว่า "พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง"

การดีในชีวิตของเราได้ถูกเริ่มต้นขึ้นแล้วโดยพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงเริ่ม พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์

ฟป 1:6 ข้าพ‌เจ้า​แน่​ใจ​ว่า​พระ‍องค์​ผู้​ทรง​ตั้ง‍ต้น​การ​ดี​ไว้​ใน​พวก​ท่าน​แล้ว จะ​ทรง​กระ‌ทำ​ให้​สำ‌เร็จ​จน​ถึง​วัน​แห่ง​พระ‍เยซู‍คริสต์

No comments:

Post a Comment