Friday, November 6, 2015

Faith Part 1 Faith Comes


"คุณต้องมีความเชื่อ เพราะถ้าคุณไม่มีความเชื่อแล้ว อย่าได้หวังจะได้รับอะไรจากพระเจ้าเลย" ไม่รู้ว่าพี่น้องเคยได้ยิน ประโยคท้าทายดังกล่าวหรือไม่? ประโยคดังกล่าว คือ Statement of Fact หมายความว่า คือประโยคที่เป็นความจริง แต่สิ่งที่ไม่เป็นความจริง ก็คือ สิ่งที่มาหลังจากประโยคดังกล่าว

คำสอนที่เรามักจะได้ยินก็คือ คุณต้องมีความเชื่อ จากนั้นผู้สอนก็จะแนะนำ สารพัดวิธีที่จะทำให้เรามีความเชื่อ เช่น อดอาหารอธิษฐาน, อ่านพระคัมภีร์, เข้าร่วมกลุ่มสามัคคีธรรม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดี พี่น้องอย่าได้เข้าใจผิด ผมไม่ได้บอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ดี ตรงกันข้าม ผมบอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อที่แท้จริง ตามสัจธรรมแห่งพันธสัญญาใหม่

วิธีการสร้างความเชื่อเหล่านั้น สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การวิ่งเข้าหาความเชื่อ เพื่อที่จะได้ครอบครองความเชื่อ หรือมีความเชื่อนั่นเอง

พี่น้องรู้ไหมครับว่า เมื่อก่อนผมก็เคยเชื่อเช่นนั้น ผมทำตาม Steps ตามขั้นตอนเหล่านั้น ทุกกระเบียดนิ้ว ตามที่ผู้สอนแนะนำ แต่สิ่งที่ผมพบก็คือ ความเชื่อของผม ไม่เห็นจะเกิดขึ้นเลย หลายๆ ครั้ง ความเชื่อที่คล้ายๆ กับจะเกิด ก็เกิดขึ้นแบบยุบหนอ พองหนอ

ยิ่งผมพยายามจะวิ่งเข้าไปหาความเชื่อมากเท่าไหร่ ความเชื่อเหมือนจะถอยห่างจากผมเท่านั้น

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?? เป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่มีคำตอบ และไม่เข้าใจอยู่นานหลายปีเลยทีเดียว ผมก็เลยสรุปว่า คงเป็นเพราะผมบกพร่อง ในการทำตามขั้นตอนที่ผู้นำสอน ไม่ขั้นตอนใดก็ขั้นตอนหนึ่ง ความเชื่อของผมถึงได้ อ่อนแอ

จนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่พระเจ้าทรงสำแดงให้ผมได้เข้าใจเรื่องคำสอนที่มีพระเยซูและงานที่สำเร็จแล้วของพระองค์เป็นศูนย์กลาง สัจธรรมหลายๆ ตอนในพระคัมภีร์ ได้เปิดออกให้กับผม จนผมเข้าใจว่า ทำไมความเชื่อของผม จึงได้อ่อนแอ ยุบหนอ และก็พองหนอเช่นนั้น

พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ผมเชื่อว่า ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียว แต่พี่น้องคริสเตียนของเราร้อยละเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้วนแล้วแต่เติบโตขึ้นมากับคำสอนดังกล่าว ที่สอนให้เราวิ่งเข้าหาความเชื่อ เพื่อเราจะเป็นบุรุษและสตรีแห่งความเชื่อ

แต่พี่น้องรู้ไหมครับว่า สัจธรรมแห่งพันธสัญญาใหม่ ไม่ได้สอนเช่นนั้น

แล้วสัจธรรมแห่งพันธสัญญาใหม่ สอนว่าอย่างไร?

ตอบ สัจธรรมแห่งพันธสัญญาใหม่ สอนเราว่า ความเชื่อจะเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาเราเอง

No Way How could it be?

Yes, it is.

เรามาดูข้อพระคัมภีร์ด้วยกันสักข้อหนึ่งนะครับ

Rom 10:17 So faith comes from hearing, and hearing by the word of Christ. (NAS)


พี่น้องลองอ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวของท่านเอง และตอบคำถามว่า สิ่งที่พระคัมภีร์พูด พระคัมภีร์บอกให้ Do we go to faith, or does faith come to us?

ถูกต้องครับ Faith comes to us

ความเชื่อเป็นฝ่ายมาหาเราเอง เราไม่ต้องวิ่งตามหาความเชื่อ แต่ความเชื่อจะเป็นฝ่ายที่มาหาเรา

ความเชื่อที่มาหาเราเอง นี่แหละคือความเชื่อที่แท้จริง ไม่ใช่ความเชื่อเก๊ ที่เกิดจากกำลังความสามารถของเรา ผ่านการทำสิ่งสารพัดมากมาย

ความเชื่อแท้ เกิดขึ้นโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว (Effortless)

ส่วนของเรา เราต้องทำอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ครอบครองความเชื่อที่แท้จริงนี้?

คำตอบ ได้ซ่อนอยู่ในวรรคถัดมาของพระคัมภีร์ข้อเดียวกัน

ส่วนของเรา คือ ทำสิ่งเดียว ที่พระเยซูบอกว่า มีค่าที่สุด (Do the One Thing that is Needful) และสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนั้นก็คือ การฟังพระคำของพระคริสต์ (Hearing the Word of Christ)

ถูกต้องครับ พี่น้องฟังไม่ผิดครับ ส่วนของเรา มีเพียงอย่างเดียว คือ ฟังถ้อยคำของพระคริสต์

ถ้อยคำของพระคริสต์ในบริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็คือ คำสอนที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง (Christocentric Teaching) เมื่อเราฟัง ฟัง และก็ฟัง คำสอนที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง ความเชื่อจะเป็นฝ่ายมาหาเราเอง และความเชื่อที่มาหาเรานั้น คือ ความเชื่อที่แท้จริง ความเชื่อที่มีพลังเคลื่อนภูเขา ความเชื่อที่สามารถเรียกสิ่งที่ไม่มี ให้เกิดขึ้นได้

วันนี้คุณฟังคำสอนที่มีพระเยซูคริสต์ และงานที่สำเร็จของพระองค์เป็นศูนย์กลางแล้วหรือยัง?

Got Christocentric Teaching? Keep on hearing it, and faith will come to you.

No comments:

Post a Comment