พี่น้องเคยมีประสบการณ์ไหมครับ ที่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าในบางเรื่อง และท่านก็รอคอยคำตอบจากพระองค์ แต่จนแล้วจนรอด เวลาก็ผ่านล่วงเลยไป จากวันเป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี แต่คำตอบจากพระเจ้า ก็เหมือนไม่มาสักที หนำซ้ำ ทุกอย่างดูเงียบกริบ ไม่มีวี่แวว ว่าคำตอบจากพระเจ้าจะมาถึง ท่านได้รับคำหนุนใจจากพี่น้องที่คริสตจักร หรือแม้แต่จากศิษยาบาล หลายต่อหลายครั้ง ว่าพระเจ้ามีเวลาของพระองค์ แต่คำถามหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในใจของท่านก็คือ "แล้วเมื่อไหร่เวลานั้นจะมาถึงสักที ท่านจะต้องรอคอยอีกนานเท่าไหร่?" ถ้าท่านเคยมีประสบการณ์ดังกล่าว บทความในวันนี้ คือ สิ่งที่พระเจ้าอยากจะพูดกับท่าน
ช่วงปีที่ผ่านมา ผมได้อธิษฐานกับพระเจ้าเกี่ยวกับการทรงนำในบางเรื่อง เวลาผ่านล่วงเลยมาหลายเดือน จนปีผ่านไป ด้วยสายตาในฝ่ายกายภาพ เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอกาสที่ผ่านเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง ก็ได้ผ่านเลยไป
จนวันสองวันนี้ พระเจ้าได้พูดและสอนผม ผ่านเรื่องของซาราห์ (Sarah)
แต่เนื่องด้วยในระหว่างสัปดาห์ เป็นวันทำงาน ผมไม่มีโอกาสได้ใคร่ครวญ (meditate) ถึงสิ่งที่พระเจ้าพูดด้วย จนวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ผมมีโอกาสได้ใช้เวลา ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และได้ meditate พระคำของพระองค์ จนเกิดเป็นบทความที่พี่น้องกำลังอ่านอยู่นี้
แต่เนื่องด้วยในระหว่างสัปดาห์ เป็นวันทำงาน ผมไม่มีโอกาสได้ใคร่ครวญ (meditate) ถึงสิ่งที่พระเจ้าพูดด้วย จนวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ผมมีโอกาสได้ใช้เวลา ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และได้ meditate พระคำของพระองค์ จนเกิดเป็นบทความที่พี่น้องกำลังอ่านอยู่นี้
เราแต่ละคน อาจอยู่ในสถานะ ในบริบท บทบาท หรือในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเอง Need หรือความต้องการของเรา แต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกันไป ตามแต่บริบท หรือสถานการณ์ที่แตกต่างกันของพวกเรา แต่ในความแตกต่างของเรา หลักการแห่งพระวจนะของพระเจ้า สามารถหนุนจิตชูใจ เราทุกคนได้เหมือนกัน และนี่แหละคือความอัศจรรย์ของพระวจนะของพระเจ้า
สิ่งที่พระเจ้าพูดกับผม ทำให้ผมได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง และได้เปลี่ยนมุมมองของผมต่อสถานการณ์ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ผมจึงอยากจะแบ่งปัน สิ่งที่พระเจ้าทรงสอนผม กับพวกเราทุกคน เพื่อที่พวกเราทุกคนจะได้รับทิศทางและการหนุนจิตใจชูใจ ไปด้วยกันกับผม
เรื่องของซาราห์ เป็นอะไรที่ Amazing มากๆ เรื่องของเธอ มีหลายเหลี่ยมมุม ที่น่าสนใจ และได้ซ่อนความล้ำลึก ความหอมหวานของพระวจนะพระเจ้าเอาไว้มากมาย
พระเจ้าทรงพูดกับผม ผ่านพระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 18
ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 พระคัมภีร์เริ่มเรื่องราวว่า พระเจ้าได้มาปรากฎแก่อับราฮัม ในลักษณะของชาย 3 คน ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์
เมื่ออับราฮัมเงยหน้าเห็นชายทั้งสามคน อับราฮัมก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับเขา และกราบลงถึงดิน อับราฮัมได้เชิญให้บุรุษทั้งสาม เข้ามาพักให้หายเหนื่อยและอยู่รับประทานอาหารก่อนค่อยเดินทางต่อไป
จากนั้นอับราฮัมรีบเข้าไปในเต็นท์หานางซาราห์ภรรยา บอกให้นางเอาแป้งอย่างดีสามถังมานวดและทำขนมเลี้ยงบุรุษทั้งสาม พร้อมทั้งยังได้สั่งให้คนใช้ นำลูกโคอ่อนอย่างดี มาปรุงอาหาร ให้กับบุรุษทั้งสาม
ขณะที่ทั้งสามกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น บุรุษทั้งสาม ได้ถามอับราฮัมว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?" อับราฮัมจึงตอบบุรุษทั้งสามว่า "ซาราห์อยู่ในเต็นท์"
พี่น้องที่รัก บทสนทนาต่อจากนี้ไป คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพูดและสอนผม
พี่น้องพร้อมที่จะรับ Revelation แล้วหรือยังครับ?
เรามาดูข้อพระคัมภีร์กันสักหน่อยนะครับ
ปฐก 18:9-14
9พวกเขาถามท่านว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ท่านตอบว่า “นางอยู่ในเต็นท์”
10ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
11ฝ่ายอับราฮัมและซาราห์นั้นชราแล้ว และประจำเดือนของซาราห์ก็หมดไปแล้ว
12นางซาราห์ก็หัวเราะในใจ กล่าวว่า “ในเมื่อฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ?”
13พระยาห์เวห์ตรัสกับอับราฮัมว่า “ทำไมนางซาราห์หัวเราะ? และกล่าวว่า ‘ฉันแก่แล้ว จะคลอดบุตรชายจริงๆ หรือ?’
14มีสิ่งใดอัศจรรย์เกินที่พระยาห์เวห์จะทรงทำได้ พอถึงเวลากำหนดเราจะกลับมาหาเจ้า ฤดูนี้ปีหน้า ซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง” (THSV11)
Gen 18:9-14
10ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
11ฝ่ายอับราฮัมและซาราห์นั้นชราแล้ว และประจำเดือนของซาราห์ก็หมดไปแล้ว
12นางซาราห์ก็หัวเราะในใจ กล่าวว่า “ในเมื่อฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ?”
13พระยาห์เวห์ตรัสกับอับราฮัมว่า “ทำไมนางซาราห์หัวเราะ? และกล่าวว่า ‘ฉันแก่แล้ว จะคลอดบุตรชายจริงๆ หรือ?’
14มีสิ่งใดอัศจรรย์เกินที่พระยาห์เวห์จะทรงทำได้ พอถึงเวลากำหนดเราจะกลับมาหาเจ้า ฤดูนี้ปีหน้า ซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง” (THSV11)
Gen 18:9-14
9 Then they said to him, "Where is Sarah your wife?" And he said, "Here, in the tent."
10 And He said, "I will certainly return to you according to the time of life, and behold, Sarah your wife shall have a son." (Sarah was listening in the tent door which was behind him.)
11 Now Abraham and Sarah were old, well advanced in age; and Sarah had passed the age of childbearing.
12 Therefore Sarah laughed within herself, saying, "After I have grown old, shall I have pleasure, my lord being old also?"
13 And the LORD said to Abraham, "Why did Sarah laugh, saying, 'Shall I surely bear a child, since I am old?'
14 "Is anything too hard for the LORD? At the appointed time I will return to you, according to the time of life, and Sarah shall have a son." (NKJ)
10 And He said, "I will certainly return to you according to the time of life, and behold, Sarah your wife shall have a son." (Sarah was listening in the tent door which was behind him.)
11 Now Abraham and Sarah were old, well advanced in age; and Sarah had passed the age of childbearing.
12 Therefore Sarah laughed within herself, saying, "After I have grown old, shall I have pleasure, my lord being old also?"
13 And the LORD said to Abraham, "Why did Sarah laugh, saying, 'Shall I surely bear a child, since I am old?'
14 "Is anything too hard for the LORD? At the appointed time I will return to you, according to the time of life, and Sarah shall have a son." (NKJ)
หลังจากที่บุรุษทั้งสามได้ถามอับราฮัมว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?" (ข้อ 9)
ชายคนหนึ่งในสามคน ได้บอกกับอับราฮัมว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง”
พี่น้องจำหลักที่ผมเคยสอนได้ไหมครับ? เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็นพระเจ้าสาบาน หรือพระเจ้าทรงพูดสิ่งเดียวกัน ซ้ำซ้ำ ติดติดกันหรือไล่เลี่ยในบริบทเดียวกัน พระคัมภีร์ตรงนั้น มีหลักการฝ่ายวิญญาณบางอย่างซ่อนอยู่
ที่พระคัมภีร์ภาษาไทย แปลออกมาว่า "ฤดูนี้ปีหน้า" พระเจ้าได้พูดคำนี้ ซ้ำกันถึง 2 รอบในบทสนทนาและในบริบทเดียวกัน คือในข้อ 10 และ 14 มาดูข้อพระคัมภีร์กันสักหน่อยนะครับ
ปฐก 18:10 ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
ปฐก 18:14 มีสิ่งใดอัศจรรย์เกินที่พระยาห์เวห์จะทรงทำได้ พอถึงเวลากำหนดเราจะกลับมาหาเจ้า ฤดูนี้ปีหน้า ซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง”
จริงๆ ในพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาไทย แปลออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากมีการตัดคำบางคำ ในพระคัมภีร์ต้นฉบับภาษาฮีบรูทิ้งไป ทำให้ความหมายที่พระเจ้าพูดสูญหายไป สิ่งที่ถูกตัดทิ้งไป คือ คำกุญแจที่เก็บซ่อนความลับของพระคัมภีร์ตอนนี้เอาไว้
เรามาดูในพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาอังกฤษใน NKJ กันสักหน่อยนะครับ พระคัมภีร์ NKJ ถ่ายทอดความหมายของพระคัมภีร์ตอนนี้ออกมาได้ดีมาก ตรงตามสิ่งที่พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูได้พูดไว้
Gen 18:10 And He said, "I will certainly return to you according to the time of life, and behold, Sarah your wife shall have a son." (Sarah was listening in the tent door which was behind him.)
Gen 18:14 "Is anything too hard for the LORD? At the appointed time I will return to you, according to the time of life, and Sarah shall have a son."
มีคำที่เป็นคำกุญแจ อยู่ 2 คำตรงนี้ (ผมขออนุญาต อ้างอิงจากพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษนะครับ เพราะความหมายครบถ้วนกว่าในพระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยของเรา)
คำแรก "according to the time of life" และ คำที่สอง "at the appointed time"
ถ้าพี่น้องสังเกต พระเจ้าทรงพูดคำว่า "at the appointed time" เพียงแค่ครั้งเดียว แต่พูดคำว่า "according to the time of life" ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง
พี่น้องเคยมีประสบการณ์ไหมครับ ที่เราได้อธิษฐานขอพระเจ้าในบางสิ่งบางอย่าง และในช่วงที่เราต้องรอคอยคำตอบที่มาจากพระเจ้า คำหนุนใจหนึ่งที่เรามักได้ยิน ก็คือ คำหนุนใจที่ว่า "พระเจ้าทรงมีเวลาของพระองค์" ซึ่งก็คือ คำที่พระเจ้าพูดตรงนี้ว่า "at the appointed time"
ถูกต้อง และจริงครับ ว่าพระเจ้าทรงมีเวลาของพระองค์ (at the appointed time) คำหนุนใจที่เราได้ยินจากพี่น้องคริสเตียนหรือจากผู้นำ เป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคนที่พูดประโยคนี้ตรงนี้ ก็คือ พระเจ้า แต่ถ้าพวกเราสังเกต พระเจ้าทรงพูดคำนี้ แค่ครั้งเดียว แต่ทรงพูดคำว่า "according to the time of life" ถึง 2 ครั้ง
และวันนี้ผมอยากจะแบ่งปันความล้ำลึกของพระคัมภีร์อีกอย่างหนึ่ง ที่เราแทบไม่ค่อยได้ยิน คนแบ่งปันกันเท่าไหร่ และนี่เป็นหลักที่สำคัญมากยิ่งกว่า
ก่อนจะไปต่อ มีประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้พวกเราเห็น พระเจ้าแยกคำว่า "according to the time of life" ออกจากคำว่า "at the appointed time" นั่นหมายว่า "time of life" และ "appointed time" เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
คำถาม แล้วคำว่า "according to the time of life" คืออะไร? มีความหมายว่าอะไร?
ถ้าพี่น้องสังเกต พระเจ้าทรงพูดคำว่า "at the appointed time" เพียงแค่ครั้งเดียว แต่พูดคำว่า "according to the time of life" ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง
พี่น้องเคยมีประสบการณ์ไหมครับ ที่เราได้อธิษฐานขอพระเจ้าในบางสิ่งบางอย่าง และในช่วงที่เราต้องรอคอยคำตอบที่มาจากพระเจ้า คำหนุนใจหนึ่งที่เรามักได้ยิน ก็คือ คำหนุนใจที่ว่า "พระเจ้าทรงมีเวลาของพระองค์" ซึ่งก็คือ คำที่พระเจ้าพูดตรงนี้ว่า "at the appointed time"
ถูกต้อง และจริงครับ ว่าพระเจ้าทรงมีเวลาของพระองค์ (at the appointed time) คำหนุนใจที่เราได้ยินจากพี่น้องคริสเตียนหรือจากผู้นำ เป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคนที่พูดประโยคนี้ตรงนี้ ก็คือ พระเจ้า แต่ถ้าพวกเราสังเกต พระเจ้าทรงพูดคำนี้ แค่ครั้งเดียว แต่ทรงพูดคำว่า "according to the time of life" ถึง 2 ครั้ง
และวันนี้ผมอยากจะแบ่งปันความล้ำลึกของพระคัมภีร์อีกอย่างหนึ่ง ที่เราแทบไม่ค่อยได้ยิน คนแบ่งปันกันเท่าไหร่ และนี่เป็นหลักที่สำคัญมากยิ่งกว่า
ก่อนจะไปต่อ มีประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้พวกเราเห็น พระเจ้าแยกคำว่า "according to the time of life" ออกจากคำว่า "at the appointed time" นั่นหมายว่า "time of life" และ "appointed time" เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
คำถาม แล้วคำว่า "according to the time of life" คืออะไร? มีความหมายว่าอะไร?
พระคัมภีร์ภาษาไทย ไปแปลว่า "ฤดูนี้ปีหน้า"
ความหมายมันไม่ใช่ เพราะในภาษาฮีบรู ใช้ 2 คำด้วยกัน
คำแรก "eth (ayth)" แปลว่า เวลา หรือฤดูกาล
คำที่สอง "chay (khah'-ee)" แปลว่า ชีวิต, ความสดชื่น, ความแข็งแรงหรือ ความมีชีวิตชีวา
ถ้าจะแปลแบบรักษาความหมายในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู คำนี้น่าจะแปลออกมาว่า "เวลาแห่งความสดชื่น หรือเวลาที่มีชีวิตชีวา"
พระคัมภีร์ NKJ ให้ความหมายได้ดีมากว่า "according to the time of life"
จริงๆ วลีเดียวกันนี้ "according to the time of life" มีใช้ในเพลงภาษาฝรั่งด้วย
คำนี้มีความหมายว่า "ช่วงเวลาที่มีความสุข" ซึ่งก็ตรงกับความหมายในภาษาฮีบรู
พี่น้องสังเกตไหมครับว่า พระเจ้าพูดคำเดียวกันนี้ ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง คือ ในข้อ 10 และข้อ 14
มันบอกอะไรกับเรา?
ตอบ มันบอกกับเราว่า คำๆ นี้ คือ Key หรือกุญแจ ที่จะ unlock ความหมายฝ่ายวิญญาณของพระคัมภีร์ตอนนี้ออกมา
ผมขออนุญาต point out ประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นหนึ่งกับพี่น้อง ก่อนที่เราจะกลับมาไขความลับพระคัมภีร์ตรงนี้กัน
พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมตั้งแต่เขาอายุ 75 ปี (ปฐก 12) พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า เขาจะได้เป็นพงศ์พันธุ์ที่ใหญ่โต แต่จนแล้วจนรอด เวลาได้ผ่านล่วงเลยมาถึงตรงนี้ก็ 24 ปี ถึงตรงนี้ อับราฮัมอายุได้ 99 ปีแล้ว พระสัญญาก็ยังไม่เกิดขึ้นเสียที
ในช่วงเวลา 24 ปีที่ผ่านมา เรารู้ว่า อับราฮัมและซาราห์ภรรยา จดจ่ออยู่กับการเกิดขึ้นของพระสัญญาตลอดเวลา ชีวิตของทั้งคู่ เดินอยู่ในความคาดหวัง ความกดดัน และความเครียด
ผมรู้ได้ยังไงนะเหรอครับ ว่าทั้งคู่จดจ่ออย่างมาก
ตอบ รู้ได้จากพระคัมภีร์ครับ
หลังจากที่พระเจ้าประทานพระสัญญาเรื่องการมีบุตรในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 12 ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 15 พระเจ้าก็มาปรากฎกับอับราฮัม ซึ่งในตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า "อับราม (Abram)" ทางนิมิต พี่น้องรู้ไหมครับ ประโยคแรกที่อับรามพูดกับพระเจ้า อับรามพูดว่าอะไร?
อับรามพูดกับพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ยังไม่มีลูก" (ปฐก 15:2) อับรามไม่ได้พูดแค่ครั้งเดียวนะครับ ข้อถัดมา คือในข้อ 3 อับรามบอกกับพระเจ้าว่า "พระองค์มิได้ทรงประทานบุตรให้แก่ข้าพระองค์"
เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น ไม่เพียงแต่อับรามที่จดจ่อ คาดหวัง และเคร่งเครียดกับการมีบุตร ซาราห์ ซึ่งตอนนั้น ยังใช้ชื่อว่า ซาราย (Sarai) ก็เคร่งเครียดไม่น้อยไปกว่ากัน
ในบทถัดมา คือในปฐมกาลบทที่ 16 นางซารายได้ลงมือช่วยพระเจ้า ทำให้พระสัญญาเกิดขึ้น นางซารายได้ยกนางฮาการ์ (Hagar) สาวใช้ชาวอียิปต์ของนางให้เป็นอนุ ของอับราม จนที่สุดนางฮาการ์ ได้คลอดบุตรชายให้กับอับรามจริงๆ แต่ผลเสีย หรือผลร้ายของการช่วยพระเจ้า ก็ตามมาอีกเป็นพรวน ไม่เพียงแค่ในยุคนั้น แต่ลากยาวมาถึงในยุคสมัยเรา คือในศตวรรษที่ 21 ด้วยเช่นกัน
หลายครั้งที่เราฟังคำสอน หรือคำเทศนาเรื่องของอับราฮัม เรามักจะได้ยิน ว่าเขามีความเชื่อมากมาย ความเชื่อของเขายิ่งใหญ่ แต่เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ ตามที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ เราพบว่า อับราฮัมและซาราห์ ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา เหมือนกับพวกเราทุกคนที่นี่
เขามีความรู้สึก เขามีความเครียด เขามีความกดดันเหมือนกันกับพวกเรา
อับราฮัมและซาราห์ ไม่ได้นอนรอด้วยความชิว จนพระสัญญาเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งคู่จดจ่อ รอคอย คาดหวัง ให้พระสัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองเครียด ทั้งสองได้ช่วยพระเจ้า เพื่อให้พระสัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเรา
พี่น้องที่รัก ถ้าท่านรู้สึกจดจ่อ กดดัน ใจเป็นทุกข์ หรือเครียด กับการรอคอย การตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้า และท่านได้พยายามจะช่วยพระเจ้าทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น ท่านไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ท่านไม่ได้เป็นผู้เชื่อที่ผ่าเหล่าผ่ากอแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริง อับราฮัม ผู้ได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งความเชื่อ ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับท่าน
เรากลับมาดูหลักการที่สำคัญในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 กันต่อ
ปฐก 18:10 ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
พี่น้องลอง meditate ดู สิ่งที่พระเจ้าพูดซิครับ ก่อนที่พระเจ้าจะพูดว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง" พระเจ้าพูดว่าอะไร?
พระองค์ทรงบอกว่า "according to the time of life"
พระเจ้าพูดวลีเดียวกันนี้ ถึง 2 ครั้งในข้อ 10 และข้อ 14
ถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่า คำว่า "according to the time of life" มีความหมายถึง "เวลาแห่งความสุข หรือเวลาที่เรามีความสุข"
พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า "ในเวลาที่เจ้ามีความสุข เราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้า จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
"เมื่อเจ้ามีความสุขกับช่วงเวลาของชีวิต เราจะกลับมา" - พระองค์จะกลับมา เมื่ออับราฮัมมีความสุขกับชีวิต และผลที่เกิดต่อจากนั้น ก็คือ "ซาราห์ภรรยาของเจ้า จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
พระพรของพระเจ้า จะเกิดขึ้น เมื่อเรามีความสุขกับชีวิต ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้กับเรา มีความสุขกับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในชีวิตของเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา พี่น้อง สามี ภรรยา งานที่เรามี ตลอดจนสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้อวยพรเราแล้ว มีความสุขกับสิ่งเหล่านั้น Enjoy กับชีวิต
เมื่อเรา Enjoy กับ Time of Life Enjoy กับชีวิตที่พระเจ้าให้กับเราแล้วในปัจจุบัน พระเจ้าบอกว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง" พระสัญญาของพระเจ้า ก็จะเกิดขึ้น
หลายครั้ง เราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราไม่มี จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราต้องการ จนทำให้เราลืมความสุขในปัจจุบัน ตลอดจนมองไม่เห็นถึงสารพัดพระพรมากมาย ที่พระเจ้าได้ให้กับเราแล้ว เราจึงติดกับดักของมารซาตาน เราดำเนินชีวิต ด้วยความวิตกกังวล ความกดดัน และความเครียด
ถ้าวันนี้ พี่น้องเข้าใจและได้รับการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงหลักการในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 นี้ และปรับมุมมองชีวิตของเราใหม่ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัดมากมายที่พระเจ้า ได้ประทานให้กับเราแล้ว Enjoy กับสิ่งสารพัดเหล่านั้น Enjoy ครอบครัวที่เรามี Enjoy งานที่เรากำลังทำอยู่ Enjoy กับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ให้เราแล้ว เมื่อไหร่ ที่พี่น้องมีชีวิตที่มีความสุข เมื่อนั้นแหละครับ พระสัญญาของพระเจ้า จะเกิดขึ้น อย่างง่ายดาย
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่าเดินอยู่ในเสียงแห่งการปรักปรำ เพราะเหตุความผิดพลาดในอดีต เราเดินผ่านอดีตมาแล้ว ปล่อยอดีตไว้ที่เดิมและเดินต่อไปกับพระเจ้า อย่าไปขุดคุ้ยมันขึ้นมาให้เกิดความทุกข์
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่ากังวลถึงอนาคตที่ยังไม่เกิด พระเยซูบอกกับเราว่า มีใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย จะต่อชีวิตให้ยาวออกไปได้หรือ? อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ จะมีความกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง
เดินไปกับพระเจ้าในวันเวลาที่เรียกว่า วันนี้และเดี๋ยวนี้ ปล่อยอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ให้มันผ่านไป และอย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง เมื่อพรุ่งนี้มาถึง พระเจ้ามีพระคุณให้กับเราในทุกๆ วัน
พระเจ้าประทานมานาให้คนอิสราเอลกินวันต่อวัน พระเจ้าไม่ให้เก็บมานาข้ามคืน มานาคือพระคุณของพระเจ้า ที่มีให้กับชีวิตของเราแต่ละคน ในแต่ละวัน มานามีให้กับเราอย่างเพียงพอ ตามที่เราต้องการ
ขอให้พี่น้องทุกท่าน Enjoy Time of Life ของท่าน
ในข้อ 14 อีกข้อที่พระเจ้าพูดถึง "time of life" พี่น้องลอง meditate สิ่งที่พระเจ้าพูดซิครับ
"มีสิ่งใดอัศจรรย์เกินที่พระยาห์เวห์จะทรงทำได้หรือ?" - อัศจรรย์สำหรับพระเจ้าแล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายดาย ในพันธกิจของพระเยซูคริสต์บนโลก เราเห็นพระองค์ทรงทำสารพัดอัศจรรย์อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะใช้ขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัวเลี้ยงคน 5 พันคน ทำให้คนตายไปแล้ว 4 วันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา
ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินพระยาห์เวห์จะทรงทำได้
ประโยคต่อมา พระเจ้าพูดว่า "พอถึงเวลากำหนด (at the appointed time) เราจะกลับมา" - คำหนุนใจนี้ พวกเราคุ้นเคยกันดี พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ สิ่งที่เรามักได้ยินต่อจากประโยคนี้ ก็คือ ให้เรารอคอยพระเจ้า ให้เราอดทน ฯลฯ
แต่พี่น้องลอง meditate สิ่งที่พระเจ้าพูดต่อไปในบริบทเดียวกันซิครับ Context is the King.
ว่าเวลาที่กำหนดจะมาถึงเมื่อไหร่?
คำตอบก็อยู่ใน ประโยคที่พระเจ้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ "according to the time of life, and Sarah shall have a son."
เวลาที่เหมาะสม หรือเวลาที่กำหนดนั้น ก็คือ เวลาที่เรามี time of life เวลาที่เรามีความสุขกับชีวิต กับพระพรในปัจจุบันของพระเจ้านั่นแหละครับ
ก่อนที่ผมจะได้ meditate พระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง ผมเคยคิดและเชื่อว่า ทุกอย่างขึ้นกับพระเจ้าทั้งหมด ตัวเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย จนกระทั่งเมื่อผมได้ meditate พระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง
พระเจ้าทรงพูดชัดว่า "ไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าที่พระองค์จะทำได้" แสดงว่าฤทธิ์เดชพระเจ้าพร้อม จะทำอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
คนที่กำหนดว่า เวลานั้นจะมาเมื่อไหร่ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็คือ ตัวเรา
พระเจ้าปิดประโยคว่า "ในเวลาที่เจ้ามีความสุขกับชีวิต ซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ คำพูดพระเจ้า หนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขา พระเจ้าไม่จำเป็นต้องสาบาน พระองค์ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ พระองค์พูดเพียงแค่ครั้งเดียว ก็เพียงพอแล้ว แต่นี่พระเจ้าทรงพูดซ้ำถึงสองครั้ง
ถ้าพี่น้องสังเกต เนื้อความที่พระเจ้าพูดในข้อ 10 กับข้อ 14 มันเหมือนกันเลย
"according to the time of life, Sarah shall have a son."
Indicator หรือตัวที่กำหนดว่า อัศจรรย์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ใช่อยู่ที่พระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชของพระองค์ พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่อยู่ที่เรา เมื่อไหร่ ที่เรามีความสุขกับปัจจุบัน กับชีวิต กับครอบครัว กับงาน กับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ให้เราแล้ว เมื่อนั้นแหละ พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ คำตอบคำอธิษฐานที่ท่านได้อธิษฐานทูลขอ คร่ำครวญต่อพระเจ้า จะเกิดขึ้น
ผมขอจบบทความนี้ ด้วยสิ่งที่ซาราห์พูด (ในใจ) ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 ข้อ 12
แต่เพื่อให้พี่น้องเห็นบริบท ผมจึง quote ตั้งแต่ข้อ 9-12
ปฐก 18:9-12
ในข้อ 10 พระเจ้าพูดว่า "according to the time of life" เราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง ตอนปลายของข้อ 10 เรารู้ว่า ซาราห์ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกกับเราว่า ซาราห์ฟังอยู่ที่ด้านหลังประตูเต็นท์
ข้อ 12 คือ สิ่งที่ซาราห์นึกในใจ พี่น้องลอง meditate สิ่งที่ซาราห์พูดนะครับ
“ในเมื่อฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ?”
ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้อย่างเร็วๆ สิ่งที่เราจะได้ก็คือ
ข้อ 9 พระเจ้าบอกว่า "ซาราห์จะมีบุตรชาย"
ข้อ 12 ซาราห์นึกในใจว่า "ฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีบุตรได้อีกหรือ?"
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์พูด พี่น้องลอง meditate พระคำตอนนี้ดีๆ ซิครับ
ทำไมซาราห์ถึงพูดว่า "ฉันจะมีความยินดีอีกหรือ?" แทนที่จะพูดว่า "ฉันยังจะมีบุตรได้อีกหรือ?" อย่างที่เราเข้าใจกัน
เหตุผลก็เพราะว่า ซาราห์เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าพูด
ผมขออนุญาต paraphrase เหตุการณ์ตอนนี้ ให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ นะครับ เพื่อพวกเราจะเข้าใจถึงเหตุการณ์ตอนนี้
ข้อ 10 พระเจ้าพูดกับอับราฮัมว่า "เมื่อเจ้ามีความยินดี มีความสุขกับชีวิต เราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้า จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
ข้อ 12 ซาราห์จึงนึกในใจว่า "ฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีได้อีกหรือ?"
พี่น้องที่รัก ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยากสำหรับพระยาห์เวห์ พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง เวลาแห่งการรอคอย ของท่านกำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อท่าน มีความสุข มีความยินดีกับชีวิต ชีวิตที่พระเจ้าได้อวยพรท่านมากมาย มีความสุขกับปัจจุบัน มีความสุขกับครอบครัวของท่าน กับสามี กับภรรยา กับลูกๆ กับงานที่ท่านมี มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของท่าน
เมื่อไหร่ที่ท่านมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน เมื่อนั้นแหละให้ท่านระวังตัวไว้ให้ดี เพราะพระสัญญาที่ท่านรอคอยกำลังจะเกิดขึ้น
"according to the time of life, and behold Sarah your wife shall have a son."
ผมขออนุญาต point out ประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นหนึ่งกับพี่น้อง ก่อนที่เราจะกลับมาไขความลับพระคัมภีร์ตรงนี้กัน
พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมตั้งแต่เขาอายุ 75 ปี (ปฐก 12) พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า เขาจะได้เป็นพงศ์พันธุ์ที่ใหญ่โต แต่จนแล้วจนรอด เวลาได้ผ่านล่วงเลยมาถึงตรงนี้ก็ 24 ปี ถึงตรงนี้ อับราฮัมอายุได้ 99 ปีแล้ว พระสัญญาก็ยังไม่เกิดขึ้นเสียที
ในช่วงเวลา 24 ปีที่ผ่านมา เรารู้ว่า อับราฮัมและซาราห์ภรรยา จดจ่ออยู่กับการเกิดขึ้นของพระสัญญาตลอดเวลา ชีวิตของทั้งคู่ เดินอยู่ในความคาดหวัง ความกดดัน และความเครียด
ผมรู้ได้ยังไงนะเหรอครับ ว่าทั้งคู่จดจ่ออย่างมาก
ตอบ รู้ได้จากพระคัมภีร์ครับ
หลังจากที่พระเจ้าประทานพระสัญญาเรื่องการมีบุตรในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 12 ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 15 พระเจ้าก็มาปรากฎกับอับราฮัม ซึ่งในตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า "อับราม (Abram)" ทางนิมิต พี่น้องรู้ไหมครับ ประโยคแรกที่อับรามพูดกับพระเจ้า อับรามพูดว่าอะไร?
อับรามพูดกับพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ยังไม่มีลูก" (ปฐก 15:2) อับรามไม่ได้พูดแค่ครั้งเดียวนะครับ ข้อถัดมา คือในข้อ 3 อับรามบอกกับพระเจ้าว่า "พระองค์มิได้ทรงประทานบุตรให้แก่ข้าพระองค์"
เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น ไม่เพียงแต่อับรามที่จดจ่อ คาดหวัง และเคร่งเครียดกับการมีบุตร ซาราห์ ซึ่งตอนนั้น ยังใช้ชื่อว่า ซาราย (Sarai) ก็เคร่งเครียดไม่น้อยไปกว่ากัน
ในบทถัดมา คือในปฐมกาลบทที่ 16 นางซารายได้ลงมือช่วยพระเจ้า ทำให้พระสัญญาเกิดขึ้น นางซารายได้ยกนางฮาการ์ (Hagar) สาวใช้ชาวอียิปต์ของนางให้เป็นอนุ ของอับราม จนที่สุดนางฮาการ์ ได้คลอดบุตรชายให้กับอับรามจริงๆ แต่ผลเสีย หรือผลร้ายของการช่วยพระเจ้า ก็ตามมาอีกเป็นพรวน ไม่เพียงแค่ในยุคนั้น แต่ลากยาวมาถึงในยุคสมัยเรา คือในศตวรรษที่ 21 ด้วยเช่นกัน
หลายครั้งที่เราฟังคำสอน หรือคำเทศนาเรื่องของอับราฮัม เรามักจะได้ยิน ว่าเขามีความเชื่อมากมาย ความเชื่อของเขายิ่งใหญ่ แต่เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ ตามที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ เราพบว่า อับราฮัมและซาราห์ ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา เหมือนกับพวกเราทุกคนที่นี่
เขามีความรู้สึก เขามีความเครียด เขามีความกดดันเหมือนกันกับพวกเรา
อับราฮัมและซาราห์ ไม่ได้นอนรอด้วยความชิว จนพระสัญญาเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งคู่จดจ่อ รอคอย คาดหวัง ให้พระสัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองเครียด ทั้งสองได้ช่วยพระเจ้า เพื่อให้พระสัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเรา
พี่น้องที่รัก ถ้าท่านรู้สึกจดจ่อ กดดัน ใจเป็นทุกข์ หรือเครียด กับการรอคอย การตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้า และท่านได้พยายามจะช่วยพระเจ้าทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น ท่านไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ท่านไม่ได้เป็นผู้เชื่อที่ผ่าเหล่าผ่ากอแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริง อับราฮัม ผู้ได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งความเชื่อ ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับท่าน
เรากลับมาดูหลักการที่สำคัญในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 กันต่อ
ปฐก 18:10 ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
พี่น้องลอง meditate ดู สิ่งที่พระเจ้าพูดซิครับ ก่อนที่พระเจ้าจะพูดว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง" พระเจ้าพูดว่าอะไร?
พระองค์ทรงบอกว่า "according to the time of life"
พระเจ้าพูดวลีเดียวกันนี้ ถึง 2 ครั้งในข้อ 10 และข้อ 14
ถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่า คำว่า "according to the time of life" มีความหมายถึง "เวลาแห่งความสุข หรือเวลาที่เรามีความสุข"
พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า "ในเวลาที่เจ้ามีความสุข เราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้า จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
"เมื่อเจ้ามีความสุขกับช่วงเวลาของชีวิต เราจะกลับมา" - พระองค์จะกลับมา เมื่ออับราฮัมมีความสุขกับชีวิต และผลที่เกิดต่อจากนั้น ก็คือ "ซาราห์ภรรยาของเจ้า จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
พระพรของพระเจ้า จะเกิดขึ้น เมื่อเรามีความสุขกับชีวิต ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้กับเรา มีความสุขกับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในชีวิตของเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา พี่น้อง สามี ภรรยา งานที่เรามี ตลอดจนสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้อวยพรเราแล้ว มีความสุขกับสิ่งเหล่านั้น Enjoy กับชีวิต
เมื่อเรา Enjoy กับ Time of Life Enjoy กับชีวิตที่พระเจ้าให้กับเราแล้วในปัจจุบัน พระเจ้าบอกว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง" พระสัญญาของพระเจ้า ก็จะเกิดขึ้น
หลายครั้ง เราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราไม่มี จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราต้องการ จนทำให้เราลืมความสุขในปัจจุบัน ตลอดจนมองไม่เห็นถึงสารพัดพระพรมากมาย ที่พระเจ้าได้ให้กับเราแล้ว เราจึงติดกับดักของมารซาตาน เราดำเนินชีวิต ด้วยความวิตกกังวล ความกดดัน และความเครียด
ถ้าวันนี้ พี่น้องเข้าใจและได้รับการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงหลักการในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 นี้ และปรับมุมมองชีวิตของเราใหม่ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัดมากมายที่พระเจ้า ได้ประทานให้กับเราแล้ว Enjoy กับสิ่งสารพัดเหล่านั้น Enjoy ครอบครัวที่เรามี Enjoy งานที่เรากำลังทำอยู่ Enjoy กับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ให้เราแล้ว เมื่อไหร่ ที่พี่น้องมีชีวิตที่มีความสุข เมื่อนั้นแหละครับ พระสัญญาของพระเจ้า จะเกิดขึ้น อย่างง่ายดาย
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่าเดินอยู่ในเสียงแห่งการปรักปรำ เพราะเหตุความผิดพลาดในอดีต เราเดินผ่านอดีตมาแล้ว ปล่อยอดีตไว้ที่เดิมและเดินต่อไปกับพระเจ้า อย่าไปขุดคุ้ยมันขึ้นมาให้เกิดความทุกข์
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่ากังวลถึงอนาคตที่ยังไม่เกิด พระเยซูบอกกับเราว่า มีใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย จะต่อชีวิตให้ยาวออกไปได้หรือ? อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ จะมีความกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง
เดินไปกับพระเจ้าในวันเวลาที่เรียกว่า วันนี้และเดี๋ยวนี้ ปล่อยอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ให้มันผ่านไป และอย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง เมื่อพรุ่งนี้มาถึง พระเจ้ามีพระคุณให้กับเราในทุกๆ วัน
พระเจ้าประทานมานาให้คนอิสราเอลกินวันต่อวัน พระเจ้าไม่ให้เก็บมานาข้ามคืน มานาคือพระคุณของพระเจ้า ที่มีให้กับชีวิตของเราแต่ละคน ในแต่ละวัน มานามีให้กับเราอย่างเพียงพอ ตามที่เราต้องการ
ขอให้พี่น้องทุกท่าน Enjoy Time of Life ของท่าน
ปฐก 18:14 มีสิ่งใดอัศจรรย์เกินที่พระยาห์เวห์จะทรงทำได้ พอถึงเวลากำหนดเราจะกลับมาหาเจ้า ฤดูนี้ปีหน้า ซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง”
Gen 18:14 "Is anything too hard for the LORD? At the appointed time I will return to you, according to the time of life, and Sarah shall have a son."
ในข้อ 14 อีกข้อที่พระเจ้าพูดถึง "time of life" พี่น้องลอง meditate สิ่งที่พระเจ้าพูดซิครับ
"มีสิ่งใดอัศจรรย์เกินที่พระยาห์เวห์จะทรงทำได้หรือ?" - อัศจรรย์สำหรับพระเจ้าแล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายดาย ในพันธกิจของพระเยซูคริสต์บนโลก เราเห็นพระองค์ทรงทำสารพัดอัศจรรย์อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะใช้ขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัวเลี้ยงคน 5 พันคน ทำให้คนตายไปแล้ว 4 วันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา
ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินพระยาห์เวห์จะทรงทำได้
ประโยคต่อมา พระเจ้าพูดว่า "พอถึงเวลากำหนด (at the appointed time) เราจะกลับมา" - คำหนุนใจนี้ พวกเราคุ้นเคยกันดี พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ สิ่งที่เรามักได้ยินต่อจากประโยคนี้ ก็คือ ให้เรารอคอยพระเจ้า ให้เราอดทน ฯลฯ
แต่พี่น้องลอง meditate สิ่งที่พระเจ้าพูดต่อไปในบริบทเดียวกันซิครับ Context is the King.
ว่าเวลาที่กำหนดจะมาถึงเมื่อไหร่?
คำตอบก็อยู่ใน ประโยคที่พระเจ้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ "according to the time of life, and Sarah shall have a son."
เวลาที่เหมาะสม หรือเวลาที่กำหนดนั้น ก็คือ เวลาที่เรามี time of life เวลาที่เรามีความสุขกับชีวิต กับพระพรในปัจจุบันของพระเจ้านั่นแหละครับ
ก่อนที่ผมจะได้ meditate พระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง ผมเคยคิดและเชื่อว่า ทุกอย่างขึ้นกับพระเจ้าทั้งหมด ตัวเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย จนกระทั่งเมื่อผมได้ meditate พระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง
พระเจ้าทรงพูดชัดว่า "ไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าที่พระองค์จะทำได้" แสดงว่าฤทธิ์เดชพระเจ้าพร้อม จะทำอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
คนที่กำหนดว่า เวลานั้นจะมาเมื่อไหร่ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็คือ ตัวเรา
พระเจ้าปิดประโยคว่า "ในเวลาที่เจ้ามีความสุขกับชีวิต ซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ คำพูดพระเจ้า หนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขา พระเจ้าไม่จำเป็นต้องสาบาน พระองค์ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ พระองค์พูดเพียงแค่ครั้งเดียว ก็เพียงพอแล้ว แต่นี่พระเจ้าทรงพูดซ้ำถึงสองครั้ง
ถ้าพี่น้องสังเกต เนื้อความที่พระเจ้าพูดในข้อ 10 กับข้อ 14 มันเหมือนกันเลย
"according to the time of life, Sarah shall have a son."
Indicator หรือตัวที่กำหนดว่า อัศจรรย์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ใช่อยู่ที่พระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชของพระองค์ พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่อยู่ที่เรา เมื่อไหร่ ที่เรามีความสุขกับปัจจุบัน กับชีวิต กับครอบครัว กับงาน กับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ให้เราแล้ว เมื่อนั้นแหละ พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ คำตอบคำอธิษฐานที่ท่านได้อธิษฐานทูลขอ คร่ำครวญต่อพระเจ้า จะเกิดขึ้น
ผมขอจบบทความนี้ ด้วยสิ่งที่ซาราห์พูด (ในใจ) ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 18 ข้อ 12
แต่เพื่อให้พี่น้องเห็นบริบท ผมจึง quote ตั้งแต่ข้อ 9-12
ปฐก 18:9-12
9พวกเขาถามท่านว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ท่านตอบว่า “นางอยู่ในเต็นท์”
10ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
11ฝ่ายอับราฮัมและซาราห์นั้นชราแล้ว และประจำเดือนของซาราห์ก็หมดไปแล้ว
12นางซาราห์ก็หัวเราะในใจ กล่าวว่า “ในเมื่อฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ?”
10ท่านหนึ่งในสามคนว่า “ในฤดูนี้ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
11ฝ่ายอับราฮัมและซาราห์นั้นชราแล้ว และประจำเดือนของซาราห์ก็หมดไปแล้ว
12นางซาราห์ก็หัวเราะในใจ กล่าวว่า “ในเมื่อฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ?”
ในข้อ 10 พระเจ้าพูดว่า "according to the time of life" เราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง ตอนปลายของข้อ 10 เรารู้ว่า ซาราห์ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกกับเราว่า ซาราห์ฟังอยู่ที่ด้านหลังประตูเต็นท์
ข้อ 12 คือ สิ่งที่ซาราห์นึกในใจ พี่น้องลอง meditate สิ่งที่ซาราห์พูดนะครับ
“ในเมื่อฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีอย่างนี้อีกหรือ?”
ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้อย่างเร็วๆ สิ่งที่เราจะได้ก็คือ
ข้อ 9 พระเจ้าบอกว่า "ซาราห์จะมีบุตรชาย"
ข้อ 12 ซาราห์นึกในใจว่า "ฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีบุตรได้อีกหรือ?"
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์พูด พี่น้องลอง meditate พระคำตอนนี้ดีๆ ซิครับ
ทำไมซาราห์ถึงพูดว่า "ฉันจะมีความยินดีอีกหรือ?" แทนที่จะพูดว่า "ฉันยังจะมีบุตรได้อีกหรือ?" อย่างที่เราเข้าใจกัน
เหตุผลก็เพราะว่า ซาราห์เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าพูด
ผมขออนุญาต paraphrase เหตุการณ์ตอนนี้ ให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ นะครับ เพื่อพวกเราจะเข้าใจถึงเหตุการณ์ตอนนี้
ข้อ 10 พระเจ้าพูดกับอับราฮัมว่า "เมื่อเจ้ามีความยินดี มีความสุขกับชีวิต เราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้า จะมีบุตรชายคนหนึ่ง"
ข้อ 12 ซาราห์จึงนึกในใจว่า "ฉันแก่แล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความยินดีได้อีกหรือ?"
พี่น้องที่รัก ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยากสำหรับพระยาห์เวห์ พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง เวลาแห่งการรอคอย ของท่านกำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อท่าน มีความสุข มีความยินดีกับชีวิต ชีวิตที่พระเจ้าได้อวยพรท่านมากมาย มีความสุขกับปัจจุบัน มีความสุขกับครอบครัวของท่าน กับสามี กับภรรยา กับลูกๆ กับงานที่ท่านมี มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของท่าน
เมื่อไหร่ที่ท่านมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน เมื่อนั้นแหละให้ท่านระวังตัวไว้ให้ดี เพราะพระสัญญาที่ท่านรอคอยกำลังจะเกิดขึ้น
"according to the time of life, and behold Sarah your wife shall have a son."
No comments:
Post a Comment