Friday, July 13, 2012

Your Miracle is on the Way.


Mark 9:25-26 25When Jesus saw that the people came running together, He rebuked the unclean spirit, saying to it, "Deaf and dumb spirit, I command you, come out of him and enter him no more!" 26 Then the spirit cried out, convulsed him greatly, and came out of him. And he became as one dead, so that many said, "He is dead." (NKJ)


มก 9:25-26 25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า "อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเอ็งให้ออกจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย" 26 ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากที่นั่นกล่าวว่า "เขาตายแล้ว"

เด็กที่ถูกผีสิงคนนี้ ถูกสิงมายาวนานตั้งแต่เขาเป็นเด็ก (มก 9:21) จนกระทั่งวันนี้ ที่บิดาของเขา พาเขามาหาพระเยซู ในข้อ 25 พระเยซูด้วยสิทธิอำนาจ พระองค์ขับผีร้ายให้ออกจากเด็กคนนี้ และสั่งไม่ให้มันกลับเข้าสิงเด็กคนนี้อีกต่อไป


ความน่าสนใจของเหตุการณ์นี้ อยู่ในข้อ 26 หลังจากที่ผีร้ายโดนพระเยซูตรัสสำทับ ก่อนที่มันจะออกจากเด็ก พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ผีทำให้เด็กชักและดิ้นเป็นอันมาก พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "greatly" ด้วยสายตาฝ่ายกายภาพ เหมือนกับว่า อาการของเด็กทรุดและแย่ลง แต่ความจริงก็คือ นี่คืออาการดิ้นเฮือกสุดท้ายของผีโสโครก ก่อนที่จะออกจากเด็ก และไม่เคยกลับเข้าสิงเด็กคนนี้อีกเลย


ข้อคิดสองอย่างที่ได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ก็คือ...

ข้อคิดแรก หลายครั้งสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ปัญหาที่เลวร้ายที่สุด ที่เรากำลังเผชิญอยู่ คือจุดเริ่มต้นของอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่เรากำลังรอคอย อัศจรรย์จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเรามาหาพระเยซู เพราะพระองค์ทรงรักเรา รักมากที่สุด สิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเราบนไม้กางเขน คือเครื่องยืนยันถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา

ข้อคิดที่สองจากพระคัมภีร์ตอนนี้ก็คือ ไม่มีผีร้ายตนไหน หรือปัญหาไหน จะใหญ่เกินกว่าที่พระเยซูจะช่วยเราได้ แม้ปัญหา หรือความท้าทายนั้น จะดูเหมือนเรื้อรัง และรบกวนเรามายาวนานก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับที่ ผีโสโครกตนนี้ รังควานเด็กมาตั้งแต่เขายังเยาว์วัย พระเจ้าใหญ่ยิ่ง เหนือกว่าปัญหาของเราเสมอ แม้ว่าปัญหานั้น จะเกิดจากความผิดพลาดของเราก็ตาม ขอแค่เรากลับไปหาพระเยซู เชื่อมั่นในความดี และความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ทุกปัญหา และทุกความท้าท้าย ในชีวิตของเรา จะสยบลงต่อพระเยซูอย่างแน่นอน

God is the author of peace not of confusion.

1 Cor 14:33 For God is not the author of confusion but of peace, as in all the churches of the saints. (NKJ)


1คร 14:33 เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข ตามที่ปฏิบัติกันอยู่ในคริสตจักรแห่งธรรมิกชนนั้น

มีคำสอนเรื่อง การรับการทรงนำจากพระเจ้าว่า พระเจ้าใช้สันติสุขในการนำเรา คำสอนนี้ ดูเผินๆ เหมือนจะดี

แต่ถ้าเราใคร่ครวญ (meditate) คำสอนนี้ดูดี จะพบว่า มันขัดกับตรรกะ (logic) ในพระคัมภีร์ และไม่ make sense ในตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่ง คำสอนนี้ บอกเราอ้อมๆ ว่า ปรกติชีวิตคริสเตียน อยู่ในความวุ่นวาย สับสน เวลาพระเจ้านำเรา ไปทิศทางไหน พระองค์จะให้เกิดสันติสุขในทิศทางนั้น เนื่องจากปรกติชีวิตเราอยู่ในความสับสน อลหม่าน พอเกิดสันติสุข เราจึงรู้ว่า ทิศทางนี้ หรือทิศทางนั้นมาจากพระเจ้า

มันขัดกับตรรกะของพระคัมภีร์ตรงที่ว่า ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ทุกคน เป็นพระวิหารขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงประทับ "อยู่ภายในเรา" เมื่อพระเจ้า "แห่งสันติสุข" ทรงสถิต และประทับอยู่ภายในเราแล้ว เหตุไฉน ปรกติชีวิตของเรา จึงอยู่ในความวุ่นวาย และสับสนเล่า ไม่ make sense

ถ้าจะว่ากันตามตรรกะของพระคัมภีร์แล้ว ชีวิตปรกติของผู้เชื่อ ควรจะเดินอยู่ในสันติสุข ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น คำสอนที่น่าจะ logically ที่สุด กลับตรงกันข้ามกับคำสอนดังกล่าว ชีวิตปรกติของผู้เชื่อ พึงเดินอยู่ในสันติสุขตลอดเวลา ทิศทางไหน ที่ทำให้ผู้เชื่อสูญเสียสันติสุข ผู้เชื่อพึงระมัดระวัง เพราะพระเจ้าของเรา ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข หาใช่พระเจ้าแห่งความสับสนวุ่นวายไม่

Our God is the author of peace not of confusion.

When we see Jesus in His Grace, God see us in our FAITH.



But Jesus turned around, and when He saw her He said, “Be of good cheer, daughter; your faith has made you well.” And the woman was made well from that hour. (Matthew 9:22 NKJV)

ข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ คนที่มีประสบการณ์อัศจรรย์กับพระเยซู จุดสนใจของพวกเขา ไม่ได้อยู่ใน "ความเชื่อ" ที่พวกเขามี ว่ามากหรือน้อยเพียงพอที่จะได้รับอัศจรรย์หรือไม่? หากแต่จุดสนใจของพวกเขา ต่างอยู่ที่ "พระเยซู"

จุดร่วมกันอย่างหนึ่งของพวกเขา ก็คือ พวกเขาต่างเห็นพระเยซู ผู้เต็มไปด้วยพระคุณ และเต็มไปด้วยความรัก พระองค์ผู้ซึ่งรักษาทุกคนที่ไปหาพระองค์ เพื่อรับความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงเรียกการที่พวกเขาเห็นพระเยซูเช่นนั้นว่า "ความเชื่อ" ผลที่ตามมาก็คือ อัศจรรย์เกิดขึ้นกับพวกเขา

When we see JESUS in His Grace and Love, God see us in our Faith. Then, the miracle we need is the miracle we get.

Ps 23:1 The LORD is my shepherd; I shall not want. (NKJ)
สดด 23:1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน