ไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า พระบุตร (พระเยซู) ได้ทรงสำแดงพระเจ้าให้เราได้เห็นว่า
ยน 1:18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (TBS1971)
ครั้งหนึ่งฟีลิป ทูลต่อพระเยซูว่า ให้พระองค์สำแดงพระบิดาให้บรรดาเหล่าสาวกได้เห็น พระเยซูตรัสตอบฟีลิปว่า เมื่อฟีลิปและเหล่าสาวกเห็นพระองค์ เท่ากับได้เห็นพระบิดา เพราะพระบิดาและพระบุตร ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ยน 14:8-11 8 ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว” 9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น’ 10 ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ 11 จงเชื่อเราเถิดว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด (TBS1971)
ก่อนจะไปดูเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงเร่งรีบ ผมอยากให้เราดูพระคัมภีร์ด้วยกัน 1 ตอน ตอนนี้ เราจะเห็นถึงบุคลิกของพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงนิ่งสงบ cool, calm, and collected อย่างไร?
มก 5:21-43 21 ครั้นพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว มีคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ และพระองค์ยังประทับที่ฝั่งทะเล 22 มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมา และเมื่อเขาเห็นพระเยซูก็กราบลงที่พระบาทของพระองค์ 23 แล้วทูลอ้อนวอนพระองค์ว่า “ลูกสาวเล็กๆ ของข้าพระองค์เจ็บ เกือบจะตายแล้ว ขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขา เพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่ตาย” 24 ฝ่ายพระองค์ได้เสด็จไปกับคนนั้น มีคนเป็นอันมากตามไปและเบียดเสียดพระองค์ 25 มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้ว 26 ได้ทนทุกข์ลำบากมามาก มีหมอหลายคนมารักษา และได้เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคนั้นก็มิได้บรรเทา แต่ยิ่งกำเริบขึ้น 27 ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เขาก็เดินปะปนกับประชาชน ที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์ และได้ถูกต้องฉลองพระองค์ 28 เพราะคิดว่า “ถ้าเราได้แตะต้องแต่ฉลองพระองค์ เราก็จะหายโรค” 29 ในทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไป และผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว 30 บัดเดี๋ยวนั้น พระเยซูทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์แล้ว จึงเหลียวหลังตรัสว่า “ใครถูกต้องเสื้อของเรา” 31 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าประชาชนกำลังเบียดเสียดพระองค์ และพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครถูกต้องเรา’ ” 32 แล้วพระเยซูทอดพระเนตรดูรอบ ประสงค์จะเห็นผู้หญิงที่ได้กระทำสิ่งนั้น 33 ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น จึงมากราบลง ทูลแก่พระองค์ตามจริงทั้งสิ้น 34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด” 35 เมื่อพระองค์ยังตรัสไม่ทันขาดคำ มีบางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า” 36 ฝ่ายพระเยซูไม่ทรงฟังซึ่งเขาว่านั้น จึงตรัสแก่นายธรรมศาลาว่า “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้นเถิด” 37 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดไปด้วย เว้นแต่เปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38 ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงเรือนนายธรรมศาลาแล้ว ก็เห็นคนวุ่นวายร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก 39 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้ว จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านทั้งหลายพากันร้องไห้วุ่นวายไปทำไม เด็กนั้นไม่ตาย แต่นอนหลับอยู่” 40 เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์แต่เมื่อพระองค์ขับคนทั้งหลายออกไปแล้ว จึงนำบิดามารดาและสาวกสามคนที่ตามพระองค์มานั้นเข้าไปในที่ที่เด็กหญิงอยู่ 41 พระองค์จึงจับมือเด็กหญิงนั้นตรัสว่า “ทาลิธา คูมิ” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราว่าแก่เจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 42 ในทันใดนั้นเด็กหญิงนั้น ก็ลุกขึ้นเดิน เพราะว่าเด็กนั้นอายุได้สิบสองปี ในทันใดนั้นคนทั้งปวงก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง 43 พระองค์ก็กำชับห้ามเขาแข็งแรงไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์นี้ แล้วจึงสั่งเขาให้นำอาหารมาให้เด็กนั้นรับประทาน (TBS1971)
เหตุการณ์ในตอนนี้ เป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูเพิ่งเสร็จลงเรือข้ามฟาก พอมาถึงฝั่ง ขณะที่พระองค์ยังทรงประทับที่ฝั่งทะเล มีนายธรรมศาลาคนหนึ่ง ชื่อ ไยรัส เร่งรีบมาหาพระองค์ ครั้นเมื่อเขาเห็นพระเยซู เขาก็กราบลงที่พระบาทของพระองค์ ร้องขอให้พระองค์ เสด็จไปรักษา บุตรสาวคนเล็ก ของเขา ที่ป่วยหนัก ใกล้จะสิ้นใจแล้ว
เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น พระองค์ จึงได้เสด็จตามไยรัสไป
พี่น้องต้องไม่ลืมว่า พระเยซูในตอนนี้ กำลังเดินทางไปรักษาบุตรสาวของไยรัส ที่กำลังจะตาย ถ้าเราจินตนาการ เหตุการณ์ตอนนี้ออก ไยรัส น่าจะเร่งฝีเท้าเต็มที และรีบเร่ง ในการนำทางพระเยซูไปที่บ้านเขา แต่สิ่งที่เราเห็น ก็คือ พระเยซู หรือพระเจ้า ไม่มีอาการรุกรี้รุกรน แต่ประการได้ พระองค์ทรงสุขุม เยือกเย็น และมั่นคง
แต่พระองค์ ไม่ได้แสดงอาการเร่งรีบ พระองค์ทรงมีเวลา พระองค์ใช้เวลาในการทอดพระเนตรดูรอบๆ รอให้หญิงโลหิตตก ได้แสดงตัวออกมา จนที่สุด หญิงโลหิตตก ได้ออกมากราบพระองค์ ทูลพระองค์ว่า เธอได้หายจากโรค จากการได้สัมผัสฉลองพระองค์
ขณะที่พระองค์กำลังพูดคุยกับหญิงโลหิตตกอยู่ ในทันใดนั้นเอง คนจากบ้านนายธรรมศาลา มาแจ้งข่าวกับไยรัสว่า ไม่ทันแล้ว บุตรของนายท่าน ได้เสียแล้ว เราไม่ต้องรบกวนท่านอาจารย์แล้ว
เมื่อเด็กฟื้นขึ้นมาแล้ว พระองค์ได้ตรัสว่า หาอาหารมาให้เด็กได้ทานเถอะ
พี่น้องที่รัก นี่คือ บุคลิกของพระเจ้าของเรา พระเจ้าไม่ทรงถูกกดดัน ด้วยแรงกดดัน หรือสถานการณ์วิกฤตคอขาดบาดตาย อะไรก็ตาม พระองค์ทรง ชิว มีเวลาสำหรับทุกสิ่งเสมอ
ทีนี้ เรามาถึง เนื้อหาหลัก ของบทความนี้ ในพระคัมภีร์ มีอยู่ 1 ครั้ง 1 เหตุการณ์ที่พระเจ้าเร่งรีบ แบบไม่ทรงสนพระทัย ว่าจะเสียพระฟอร์ม
เหตุการณ์นี้ เป็นเรื่องที่พระเยซูทรงเล่าให้เราฟัง ในพระธรรมลูกา บทที่ 15 พระเยซูทรงเล่า 3 อุปมา ต่อเนื่องกัน ได้แก่ แกะหลงหาย, เหรียญที่หายไป และบุตรน้องหลงหาย
น่าเสียดาย หลายครั้งที่เราฟังคำสอน เกี่ยวกับ 3 อุปมานี้ จุดเน้น จะไปอยู่ที่การหลงหายของแกะ หรือลูกคนเล็ก (เล็งถึงผู้เชื่อ)
แต่จริงๆ แล้ว จุดร่วมของ 3 อุปมาต่อเนื่องกันนี้ คือ The Joy of the Finders ความสุข ความยินดี ของผู้หา
1. แกะหลงหาย พูดถึงความสุข ความยินดีของพระเยซูที่ตามหาแกะจนเจอ (พระองค์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของเราทุกคน)
2. เหรียญ (พระฉาย image) พูดถึง ความสุข ความยินดีของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พาเรากลับมาหาพระเจ้า
3. บุตรน้องหลงหาย พูดถึง ความสุข ความยินดี ของพระบิดา ที่ลูกกลับมาบ้าน บิดาในอุปมานี้ เล็งถึงพระเจ้าพระบิดา
พี่น้องที่รักยิ่งในองค์พระเยซูคริสต์ พี่น้องต้องเข้าใจ การแต่งตัวของคนในสมัยนั้น เครื่องแต่งกาย ชุดของเขา จะเป็นเหมือนผ้าถุง และมีเข็มขัดคาดเอว คนในตะวันออกกลาง จะรู้สึกว่า เรื่องนี้ เป็นอะไรที่ ค้านประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติของคนในยุคนนั้น
ประการแรก ผู้ใหญ่ อย่างพ่อในอุปมา จะไม่วิ่ง เร่งรีบ เพราะทำให้เสียความน่าเลื่อมใส
ประการที่สอง ถ้าเขาจะวิ่งได้ เขาจะต้องถก ชุดที่เป็นเหมือนผ้าถุง ขึ้นมา เหนือหัวเข่า ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีอายุ อย่างบิดาในอุปมา
เรามาจบบทความนี้ ด้วยการอ่านข้อพระคัมภีร์ตอนสุดท้ายด้วยกันครับ
ลก 15:20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา (TBS1971)
หลังจากที่ได้รับการแบ่งมรดก บุตรน้อย ได้ผลาญทรัพย์สินจนหมดสิ้น เขาจึงได้กลับมาหาบิดา พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขา
พี่น้องที่รัก การที่บิดาจะเห็นบุตรน้อยคนนี้ แต่ไกลได้ แสดงว่า บิดา จะต้องนั่งมอง ออกไปนอกหน้าต่าง ตลอดเวลา และเฝ้าคอย จดจ่อ เราต้องไม่ลืมว่า สภาพของบุตรน้อยตอนนี้ ต่างจากตอนที่เขาจากไปอย่างมาก เขาจากไป ในสภาพของอาเสี่ย ที่แต่งตัวดี บุคคลิกดี สง่างาม แต่ตอนที่เขากลับมา เขา คือคนเลี้ยงหมู ที่กินอาหารของสุกร แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา บิดา ยังคงจำ ลูกน้อยของตนได้ ไม่ว่า เขาจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม
พี่น้อง อ่านที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ซิครับ พระคัมภีร์บอกว่า "บิดาจึงวิ่งออกไป กอดคอจุบเขา" Hallelujah ลูกน้อย ตอนนี้คือ เหม็นและสกปรกมาก พระคัมภีร์ ใช้คำว่า "บิดาวิ่ง"
พวกเราต้องไม่ลืม ว่าอุปมานี้ พระเยซูเป็นคนเล่าเอง บิดา ในอุปมานี้ คือ พระเจ้าพระบิดา พระเยซูถ่ายทอด ให้เราเห็นถึงพระทัยของพระเจ้า
การเร่งรีบ ครั้งแรก และครั้งเดียวในตลอดเล่มพระคัมภีร์ของพระเจ้า คือ เร่งรีบ ไปพาเรากลับบ้าน ไปช่วยเหลือเรา และนี่คือ หัวใจ ของพระเจ้าที่มีต่อเรา
หลายครั้ง อุปมาแกะหลงหาย และบุตรน้องหลงหาย ถูกใช้ เล็งถึง คนไม่เชื่อ มาเชื่อพระเจ้า แต่ถ้าเรา meditate พระคัมภีร์ตอนนี้ ดีๆ แกะ เล็งถึง ผู้เชื่อ แกะไม่เคย เล็งถึงคนไม่เชื่อเลยในพระคัมภีร์ เช่นเดียวกับ บุตร เราออกจากบ้านไปในฐานะของบุตร เมื่อเรามาเชื่อพระเยซู พระเจ้าทรงถือว่า เราเป็นบุตรของพระองค์ (ยน 1:12)
ไม่ว่า วันนี้ ท่านทั้งหลาย กำลังเผชิญหน้า กับอุปสรรค ปัญหา หรือวิกฤต อะไรก็ตาม ที่บีบหัวใจ และกดดันท่านแบบสุดๆ พระเจ้าอยากจะบอกกับท่านว่า พระเจ้ารักท่าน และพระองค์จะเร่งรีบมาช่วยเหลือท่าน ส่วนของท่าน คือ กลับไปหาพระองค์ และยอมให้พระองค์ได้ช่วยเหลือ ให้พระเจ้าได้ทำหน้าที่พระเจ้า, บิดา และผู้เลี้ยงของท่าน
พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์ทรงยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา ถ้าชีวิตของพระองค์ พระองค์ยังทรงสละให้เราได้ ไม่มีเหตุผล ที่พระพรอื่นใด ที่เล็กกว่าพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์จะเก็บซ่อนไว้จากเรา สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น กับคนที่เชื่อว่า พระเจ้ารักเขาและเธอเสมอ
แม้ข้าพระเจ้าจะเดินไปตามหุบเขา เงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ
เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์
คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
สดด 23:4
No comments:
Post a Comment